ช่วงนี้ต้องบอกก่อนว่า สถานการณ์บ้านเมืองของเรา ดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ซึ่งหากผ่านสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้ ประเทศเราคงหน้าอยู่ขึ้นมากเลยทีเดียว มาที่แวดวงการลงทุนของเรากันบ้างหลังจากที่มีโอกาสได้พบปะกูรูทางด้านการลงทุนหลายท่านได้ให้ความเห็นตรงกันว่า การลงทุนในคอมมอนนีตี หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ในปี 2553นี้ น่าจะโดดกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ซึ่งแน่นอนว่า "น้ำมัน"จะเด่นกว่า "ทองคำ" เป็นแน่แท้ แต่อย่างไรก็ดีการลงทุนในว่าจะเป็นสินทรัพย์ประเภทอะไรก็แล้วแต่ ล้วนมีความเสี่ยงในตัวของมัน
ฉะนั้นนักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนทุกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน และวันนี้ผู้ที่จะมารับอาสาพาเราไปรู้จัก "น้ำมัน"ให้มากยิ่งขึ้นคือ สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเขาได้อธิบายว่า ปัจจัยกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน นั้นได้แก่
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อราคาน้ำมัน
1) สภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ความต้องการ Heating Oil สูงขึ้น สนับสนุนราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น
2) ปัญหาหนี้ในยุโรปกดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และมาตรการของจีนในการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจทำให้เกิดความกังวลว่าความต้องการใช้น้ำมันจะลดลง
3) ประเทศกลุ่ม EU ประกาศให้ความช่วยเหลือกรีซ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้
4) แต่รายละเอียดวิธีการช่วยเหลือ กรีซ ไม่ชัดเจนสร้างความผันผวนให้กับราคา น้ำมัน
5) ความตึงเครียดกรณีโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่าน,การประท้วงหยุดงานของคน งานโรงกลั่นในฝรั่งเศส
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่าปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันคือ ความสมดุลของอุปสงค์ และอุปทาน (Demand/Supply) ดังตัวอย่างจากกราฟราคาน้ำมันในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นความผันผวนของราคาตามข่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งจากข่าวดังกล่าวสามารถแปลความเป็นความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นและลดลง รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันด้วยเช่นกัน
ดังตัวอย่างข่าวที่ 1) ที่ทำให้ราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติในสหรัฐฯ ทำให้ความต้องการพลังงานในการทำความร้อนเพิ่มขึ้นซึ่งตลาดได้คาดหมายว่าความต้องการน้ำมันให้ความร้อน (Heating Oil) จะมีเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และด้วยสหรัฐฯ เองเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนั้นมีนัยสำคัญ
สำหรับข่าวที่ 2) ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจจะไม่เติบโตอย่างที่คาดการณ์กันไว้ทั้งปัญหาหนี้ในยุโรป และมาตรการควบคุมความร้อนแรงเศรษฐกิจของจีน ทำให้คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันอาจเติบโตไม่ได้อย่างที่คาดการณ์ไว้ จึงส่งผลให้ราคามีการปรับตัวลดลง
ทั้ง 2 เหตุการณ์เราสามารถเชื่อมโยงเข้ากับความต้องการใช้น้ำมันได้และส่งผลให้ราคามีการปรับตัวขึ้น หากข่าวนั้นสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมัน และราคาจะปรับตัวลดลงหากข่าวนั้นทำให้แนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันลดลง
นอกจากในเรื่องของความต้องการใช้น้ำมัน (Demand) แล้วนั้น ปริมาณน้ำมันที่จะออกสู่ตลาดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้ราคาน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น การปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ซึ่งน้ำมันที่ได้จากกลุ่มนี้คิดเป็นราว 1ใน 3 ของน้ำมันที่ผลิตได้ต่อวัน จะเป็นตัวผลักดันราคาให้ปรับตัวสูงขึ้น
ตัวอย่างเช่นข่าวที่ 5) เกิดความตึงเครียดขึ้นในเรื่องโครงการอาวุธนิวเคลียของอิหร่านที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ในระยะยาวได้มีการคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สอดคล้องกับคาดการณ์ราคาน้ำมันที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากปัจจัยเรื่องอุปสงค์และอุปทานแล้วค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังเป็นอีกตัวแปรที่ส่งผลต่อการปรับตัวของราคาน้ำมัน โดยหากดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง กลับกันหากดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงจะทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ลักษณะกองทุนน้ำมัน และกองทุน Powershares DB Oil Fund
สานุพงศ์ กล่าวต่อว่า ลักษณะกองทุนน้ำมัน และกองทุน Powershares DB Oil Fundกองทุนน้ำมันในประเทศไทยมีลักษณะการบริหารเป็น Feeder Fund ที่มีกอง Master Fund ที่เป็น ETF ในต่างประเทศคือ PowersharesDB Oil Fund (DBO) เหมือนกัน โดยนโยบายการลงทุนของ DBO จะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ (WTI light sweet crudeoil) เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index - Optimal Yield Oil ExcessReturn (DBLCI-OY CL ER)
ทั้งนี้ไม่เหมือนกับกองทุน SPDR Gold Trust ของกองทุนทองคำซึ่งลงทุนในทองคำแท่งอ้างอิงราคาส่งมอบทันที(Spot Price) แต่กองทุนน้ำมัน DBO ที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันจำเป็นต้องทำสิทธิการซื้อสัญญาใหม่ (Long Position)เมื่อสัญญาที่ถืออยู่ใกล้หมดอายุ ถ้าหากราคาน้ำมันมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น (Contango) จะทำให้ราคาของสัญญาที่เหลืออายุสัญญายาวจะสูงกว่าราคาของสัญญาที่อายุสั้น
ตัวอย่างเช่นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันส่งมอบเดือน เม.ย. อยู่ที่ 79.68 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันส่งมอบเดือน ก.ค. อยู่ที่ 80.81 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล สมมติว่ากองทุนปิดสถานะสัญญาเดือน เม.ย. และเปิดสถานะสัญญาเดือนก.ค. ต้นทุนที่ถืออยู่จะสูงขึ้นจาก 79.68 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 80.81 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งราคาส่งมอบทันที (Spot Price) ยังอยู่ใกล้เคียงกับสัญญาเดือนเม.ย. ที่79.68 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เราจึงพูดได้ว่ากองทุนกำลังขายของถูก และซื้อของแพง และส่วนต่างของราคาที่เกิดขึ้นเราจะเรียกว่า Negative Roll Yieldในทางกลับกันหากตลาดช่วงนั้นมีแนวโน้มเป็นขาลง (Backwardation) ราคาของสัญญาอายุยาวจะน้อยกว่าสัญญาที่อายุสั้นจะทำให้เกิดPositive Roll Yield ขึ้น ทั้งนี้ Negative Roll Yield ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาขึ้นจะเป็นตัวกดดันให้อัตราผลตอบแทนที่ได้น้อยกว่าราคาน้ำมันส่งมอบทันที (Spot Price)
ดังจะเห็นได้จากกราฟที่ 2 เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของกองทุน DBO เทียบกับ WTI ในช่วงหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในรอบที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามด้วยกลยุทธการลงทุนที่เรียกว่า Optimum Yield เพื่อลดผลกระทบของ Negative Roll Yield
ในช่วงที่ตลาด Future น้ำมันเป็น Contango และสร้าง Positive Roll Yield ให้มากที่สุดในช่วงตลาด Backwardationแต่การใช้กลยุทธนี้สามารถช่วยลดผลกระทบของ Roll Yield ได้บางส่วนแต่ก็ไม่ทั้งหมด นักลงทุนจึงควรทำความเข้าใจลักษณะการลงทุนในกองทุนน้ำมัน และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก่อนการลงทุน
ดังนั้นหากนักลงทุนจะอ้างอิงผลตอบแทนควรอิงกับอัตราผลตอบแทนของกองทุน DBO และใช้ราคาน้ำมัน (Spot Price) เป็นแนวโน้มเพื่ออ้างอิงทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาจะดีกว่า
สำหรับกองทุนน้ำมันที่อยู่ในประเทศทั้งหมดมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่มีข้อแตกต่างสำคัญอยู่คือเวลาในการใช้ NAV ของ DBO ในการคำนวณNAV ของกองทุน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ บลจ.อยุธยา บลจ.เอ็มเอฟซี และ บลจ.ทิสโก้ จะใช้ NAV กองทุน DBO ในคืนก่อนหน้า ในการคำนวณ NAVของกองทุน
ขณะที่อีกกลุ่มคือ บลจ.แอสเซทพลัส และ บลจ.กสิกรไทย จะใช้ NAV ของ DBO ในคืนที่ทำการส่งคำสั่งเพื่อใช้คำนวณ NAV กองทุน ทั้งนี้ความแตกต่างดังกล่าวสร้างความได้เปรียบในการซื้อขายให้กับกลุ่มแรก โดยเราสามารถทราบถึง NAV กองทุน DBOได้ก่อนการตัดสินใจส่งคำสั่งซื้อขาย
อย่างไรก็ตามในกลุ่มหลังคือ บลจ.แอสเซทพลัส และ บลจ.กสิกรไทย จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าดังแสดงในตารางเปรียบเทียบกองทุน และผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ได้กระทบจากการซื้อขายกองทุนจากนักลงทุนรายอื่นด้วย
แนะนำการลงทุนในกองทุนน้ำมัน
สานุพงศ์ มองว่า เศรษฐกิจโลกยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะมีความเปราะบาง ทำให้ความต้องการใช้พลังงานมีเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า
เนื่องจากการฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ และยุโรป ยังต้องใช้เวลา ปัญหาหนี้และอัตราการว่างงานในระดับที่สูงเป็นตัวกดดัน ทำให้เราคาดว่าราคาน้ำมันปี 2553 น่าจะเคลื่อนไหวระหว่าง 75 - 85 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล lและคาดการณ์ราคาน้ำมันจากหลายแหล่งเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ราว 78 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล ในปี 2553 และ 88 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล ในปี 2554
สำหรับระยะสั้นเราคิดว่าโอกาสผ่าน 81ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล เป็นไปค่อนข้างยาก โดยกราฟ Test ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯมา 4 รอบ ก่อนขึ้นไป Test แนวรับที่ 81 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลเราจึงแนะนำให้ขายทำกำไรบางส่วน ณ จุดนี้ แต่หากผ่านได้มีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวรับที่ 84 - 86 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล และการแกว่งตัวต้องไม่หลุด 77 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล หากหลุด 77 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล ให้รอเข้าสะสมแถวราคา 70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลซึ่งเป็นแนวรับถัดไป
ส่วน กองทุนที่แนะนำเป็นกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์ (I-OIL) ของ บลจ. MFC ซึ่งสามารถเห็น NAV ของ DBO ก่อนทำการซื้อขายจึงง่ายต่อการตัดสินใจและมีผลการดำเนินงานที่ผ่านมาดีที่สุดในกลุ่ม รวมถึงมีการป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Dynamic Hedgingซึ่งเรายังคงมองว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า บลจ.แอสเซทพลัส และ บลจ.กสิกรไทย
อย่างไรก็ตามการซื้อขายโดยใช้ NAV ของ DBO คืนก่อนหน้ามาคำนวณ เป็นข้อเสียสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนที่ไม่ได้ทำการซื้อขายตัวอย่างเช่นสมมติราคาน้ำมันมีแนวโน้มผันผวนมากในทิศทางที่ปรับตัวลดลง ทำให้ NAV ของ DBO มีแนวโน้มผันผวนตามราคาน้ำมันด้วยนักลงทุนเมื่อเห็นสถานการณ์นี้จะพิจารณาที่จะขายกองทุนน้ำมันออก โดยจะได้ราคาที่ยังอยู่ในระดับสูงของคืนก่อนหน้า
ขณะที่ทำการส่งคำสั่งซื้อขายวันนี้ กองทุนน้ำมันจะทำการส่งคำสั่งขายกอง Master Fund ได้ในคืนนี้ และหากราคาปรับตัวลดลงแรงตามที่คาดไว้ นั่นหมายความว่านักลงทุนที่ขายกองทุนน้ำมันจะได้ราคา NAV ที่สูงกว่า ราคาที่ขายได้จริง ส่วนต่างที่เกิดขึ้นกองทุนต้องจ่ายส่วนชดเชยนี้ให้กับผู้ขายคืนหน่วยลงทุนดังกล่าว ดังนั้นหากต้องการลงทุนกองทุนน้ำมัน
ในระยะกลางและซื้อขายไม่บ่อยเราแนะนำกองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ และ กองทุนเปิดเค ออยล์ จะดีกว่า