xs
xsm
sm
md
lg

ส่องราคาน้ำมันปีเสือ ความต้องการฟื้นตามเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ราคาน้ำมันได้เริ่มทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางเดือนธันวาคมเป็นต้นมา จากสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติจากพายุหิมะในหลายพื้นที่ในสหรัฐฯส่งผลบวกต่อความต้องการใช้น้ำมัน รวมทั้งการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปี 2553 ส่งผลให้อุปสงค์ในการบริโภคน้ำมันสูงขึ้น"

หลังจากเคยเขียนถึง"BLACK GOLD"หรือน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์อันเป็นที่คุ้นเคยกันดีสำหรับคนไทยไปแล้วครั้งหนึ่ง และเชื่อว่ามีนักลงทุนหลายท่านกันเงินไปลงทุนเก็งกำไรจากการปรับตัวของราคาน้ำมันในปีที่ผ่านมากันพอสมควร

ประเดิมช่วงต้นปีเสือแบบนี้ จึงอยากจะนำบทความดีๆ ของบริษัทจัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ มาเผยแพร่ให้ทราบถึงแนวโน้มและทิศทางของราคาน้ำมันปีนี้(2553) กันซักหน่อย

สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในปี บลจ.ทิสโก้ เขาเชื่อว่า ดีมาน์หรือความต้องการบริโภคน้ำมันจะเพิ่มตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่จะสวนทางการกำลังการผลิต และซัพพลายของแหล่งน้ำมันดิบใหม่ต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาด้านอุปสงค์และอุปทานพบว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาวเนื่องจากความต้องการพลังงานมีทิศทางเพิ่มขึ้นมากในช่วงปี ค.ศ. 2010 ถึง 2030 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน อินเดีย และกลุ่มประเทศนอก OECD ในทางกลับกัน อุปทานของน้ำมันค่อนข้างตึงตัว เนื่องจากการสำรวจและผลิตน้ำมันจากแหล่งใหม่ต้องใช้มูลค่าเงินลงทุนสูง ดังนั้น การสำรวจบ่อน้ำมันใหม่จึงไม่คุ้มค่าในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ โดยล่าสุดOPEC ได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลก ในปี 2553 จากคาดการณ์ครั้งก่อน 0.07 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 85.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะที่มุมมองราคาน้ำมันดิบในปี 2553 นั้น เมื่อพิจารณาจากราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า มีลักษณะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น โดยสัญญาสิ้นสุดเดือน ธ.ค.2010อยู่ที่ระดับราคา87.77เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ประกอบกับคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ณ วันนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดและกำลังเข้าสู่ระยะฟื้นตัวไปแล้ว

ตามประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในปี พ.ศ. 2553 ของกลุ่มประเทศก้าวหน้าและกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของเอเชียจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 1.3 และ 3.6 ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของเอเชีย ดังนั้น การลงทุนในน้ำมันจึงเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะเศรษฐกิจฟื้นตัว อีกทั้งเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและยังสามารถกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ในอีกทางหนึ่ง
 
เป็นอันว่าความต้องการบริโภคน้ำมันน่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งหากประมวลภาพย้อนหลังเชื่อว่า ภาพที่ออกมาน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ราคาที่ว่าจะปรับขึ้นได้เหมือนปีที่ผ่านมาหรือไม่คงต้องลุ้นกันต่อว่าจะมี อัพไซด์ในช่วงขาขึ้นเท่าไร

หากย้อนดูที่มาที่ไปของราคาน้ำมันในปี 2552 บลจ.ทิสโก้ได้รายงานว่า สถาการณ์ของราคาน้ำมัน ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ (West Texas Intermediate: WTI) เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 70-80 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นจาก 70.46 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล มาอยู่ที 79.39 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล ณ สิ้นไตรมาสที่ 4 หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12.67 โดยราคาน้ำมันได้ทยอยปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา โดยมีปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐอเมริกา
กระทั่งถึงช่วงประมาณต้นเดือนธันวาคมราคาน้ำมันเริ่มมีการปรับตัวลดลงติดต่อกันถึง 9 วันทำการจนมาปิดที่ระดับต่ำกว่า 70 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือน โดยมีปัจจัยหลักที่กดดันราคาน้ำมันได้แก่ความกังวลทางเศรษฐกิจหลังจาก Dubai World และ บริษัทลูกขอพักชำระหนี้ รวมทั้งการที่ Moody's Investor Services ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือประเทศกรีซลง นอกจากนั้นญี่ปุ่นได้มีการปรับลดประมาณการณ์ GDP ไตรมาส 3/2552 จาก 4.8% มาอยู่ที่ 1.3% และตัวเลขการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Output) ของเขตเศรษฐกิจหลักในยุโรปที่ต่ำมาก ส่งผลให้นักลงทุนลดการลงทุนในน้ำมันและ สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ และหันเข้าถือครองเงินเหรียญสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็น Safe Haven มากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอเมริกาเริ่มปรับแข็งค่าขึ้น
 
อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันได้เริ่มทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางเดือนธันวาคมเป็นต้นมา จากสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติจากพายุหิมะในหลายพื้นที่ในสหรัฐฯส่งผลบวกต่อความต้องการใช้น้ำมัน และการคาดการณ์ปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯปรับลดลงต่อเนื่องรวมทั้งการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปี 2553 ส่งผลให้อุปสงค์ในการบริโภคน้ำมันสูงขึ้น

ถึงตรงนี้คงพอเข้าใจได้ว่า นอกจากเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว ค่าเงินดอลลาร์เองก็มีส่วนต่อการปรับขึ้นหรือลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยเช่นกัน แต่หลักๆแล้วเรื่องดีมาน์และซัพพลายจะเป็นตัวกำหนดราคามากที่สุด

ที่ว่าภาพใกล้เคียงกันนั้นคงเป็นเรื่องของขาขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่จะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางทำให้ราคาผันผวนมากน้อยขนาดไหนคงต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ บลจ.ทิสโก้เขาแนะนำว่าน่าจะมีติดพอร์ตไว้บ้างก็น่าจะดี

ส่วนจะลงทุนอย่างไรนั้น บลจ.ทิสโก้เขาแนะนำว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิเช่น ทองคำ น้ำมันและสินค้าเกษตร น่าจะเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน เนื่องจากคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความแปรปรวนของอากาศ จะทำให้ความต้องการใช้สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและสินค้าเกษตร จะมีมากขึ้น นอกจากนี้หากมองว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะช่วยทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนมาชดเชยการขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลโดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

สำหรับการจัดสัดส่วนการลงทุนในปีนี้ หากผู้ลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่มากกว่า 4-5% ขึ้นไป จึงควรจัดสรรเงินไปลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 15-20% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะไม่เกิน 5-10% เช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น