บลจ.กสิกรไทย แจง"ดูไบเวิลด์"เลื่อนชำระหนี้ไม่กระทบบลจ.เหตุไม่มีการลงทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ส่วนกอง"K-MENA"มีสัดส่วนการลงทุนในรัฐดูไบเพียงเล็กน้อยแค่ 2-3% เท่านั้น ระบุสถาการณ์ยังผันผวน เหตุข้อมูลที่ได้รับยังไม่แน่นอน
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความกังวลของนักลงทุนในการเลื่อนชำหนี้ของของบริษัท Nakheel บริษัทลูกของ Dubai World ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยรัฐบาล Dubai มูลค่า US$3,520 ล้านในเดือนธันวาคม 2552ออกไปเป็นเดือน พฤษภาคม 2553 นั้นการขอเลื่อนการชำระดังกล่าวขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเงื่อนไขการยึดชำระหนี้ และ ความยินยอมจากเจ้าหนี้ต่างๆ จึงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดการลงทุนของตราสารในรัฐ Dubai และอาจส่งผลไปกระทบไปถึงความน่าเชื่อมั่นในการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนเปิด เค-มีน่า หุ้นทุน (K-MENA) นั้นคงจะมีผลกระทบไม่มาก เนื่องจาก สัดส่วนการลงทุนใน United Arab Emirates ประมาณ 12% ในจำนวนนี้มีสัดส่วนการลงทุนใน Dubai รัฐเดียวเพียง 2-3% ของ NAVนอกจากนี้ยังไม่มีการลงทุนในบริษัท Dubai World โดยตรง แต่มีการลงทุนในบริษัท DP World ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Dubai World เพียงประมาณ 0.3%ของ NAV โดยเป็นการลงทุนผ่านกองทุน Powershares MENA Frontier Countries ETF
ส่วนผลกระทบต่อบลจ. กสิกรไทยนั้น สำหรับกองทุนตราสารหนี้คงจะไม่มีผลกระทบเนื่องจากไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออก รัฐบาล Dubai หรือบริษัท Dubai World
ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 19 เดือน A (KFF19MA) ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกัน เนื่องจากไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล Dubai หรือบริษัท Dubai World โดยมีการลงทุนในตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในภูมิภาคตะวันออกกลางประมาณ 14% ของ NAV ประกอบด้วย Mashreqbank ธนาคารเอกชนรายใหญ่ของประเทศ United Arab Emirates (UAE)ซึ่งมีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio) สูงที่สุดในธนาคารของ UAE (20% ณ ไตรมาส 3 / 2552) และอัตราส่วน NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 1% และมีการตั้งสำรองไว้ 150 เท่า
นอกจากนี้ยังมีผู้ถือหุ้นเป็นตระกูลที่มีฐานะจัดอยู่ใน Top 60 ของนิตยสาร Forbes สามารถเพิ่มทุนให้กับธนาคารได้อย่างไม่น่าจะมีปัญหาโดยปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่ามีการปล่อยกู้ให้กับบริษัท Dubai World หรือรัฐบาล Dubaiมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ Bank of Bahrain and Kuwait (BBK) ธนาคารที่มีรัฐบาลของประเทศ Bahrain และ Kuwait เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และธุรกิจหลักอยู่ในประเทศ Bahrain และ Kuwaitซึ่งมีอัตราส่วน Capital Adequacy Ratio ที่สูง อยู่ในระดับประมาณ 20%
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากการประกาศเลื่อนชำระหนี้กระทำก่อนการเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพียงเล็กน้อย ทำให้มีความไม่แน่นอนจากข้อมูลที่ได้รับจากภาครัฐ Dubai สูง จึงคาดว่าจะมีความผันผวนเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งในตลาดตราสารหนี้ ตลาดทุน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะตลาดการเงินที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์เสี่ยง จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนเพิ่มเติมจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ UAE และ Dubai ในการให้ความมั่นใจนักลงทุนต่างๆ
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความกังวลของนักลงทุนในการเลื่อนชำหนี้ของของบริษัท Nakheel บริษัทลูกของ Dubai World ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยรัฐบาล Dubai มูลค่า US$3,520 ล้านในเดือนธันวาคม 2552ออกไปเป็นเดือน พฤษภาคม 2553 นั้นการขอเลื่อนการชำระดังกล่าวขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเงื่อนไขการยึดชำระหนี้ และ ความยินยอมจากเจ้าหนี้ต่างๆ จึงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดการลงทุนของตราสารในรัฐ Dubai และอาจส่งผลไปกระทบไปถึงความน่าเชื่อมั่นในการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนเปิด เค-มีน่า หุ้นทุน (K-MENA) นั้นคงจะมีผลกระทบไม่มาก เนื่องจาก สัดส่วนการลงทุนใน United Arab Emirates ประมาณ 12% ในจำนวนนี้มีสัดส่วนการลงทุนใน Dubai รัฐเดียวเพียง 2-3% ของ NAVนอกจากนี้ยังไม่มีการลงทุนในบริษัท Dubai World โดยตรง แต่มีการลงทุนในบริษัท DP World ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Dubai World เพียงประมาณ 0.3%ของ NAV โดยเป็นการลงทุนผ่านกองทุน Powershares MENA Frontier Countries ETF
ส่วนผลกระทบต่อบลจ. กสิกรไทยนั้น สำหรับกองทุนตราสารหนี้คงจะไม่มีผลกระทบเนื่องจากไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออก รัฐบาล Dubai หรือบริษัท Dubai World
ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 19 เดือน A (KFF19MA) ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกัน เนื่องจากไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล Dubai หรือบริษัท Dubai World โดยมีการลงทุนในตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในภูมิภาคตะวันออกกลางประมาณ 14% ของ NAV ประกอบด้วย Mashreqbank ธนาคารเอกชนรายใหญ่ของประเทศ United Arab Emirates (UAE)ซึ่งมีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio) สูงที่สุดในธนาคารของ UAE (20% ณ ไตรมาส 3 / 2552) และอัตราส่วน NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 1% และมีการตั้งสำรองไว้ 150 เท่า
นอกจากนี้ยังมีผู้ถือหุ้นเป็นตระกูลที่มีฐานะจัดอยู่ใน Top 60 ของนิตยสาร Forbes สามารถเพิ่มทุนให้กับธนาคารได้อย่างไม่น่าจะมีปัญหาโดยปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่ามีการปล่อยกู้ให้กับบริษัท Dubai World หรือรัฐบาล Dubaiมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ Bank of Bahrain and Kuwait (BBK) ธนาคารที่มีรัฐบาลของประเทศ Bahrain และ Kuwait เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และธุรกิจหลักอยู่ในประเทศ Bahrain และ Kuwaitซึ่งมีอัตราส่วน Capital Adequacy Ratio ที่สูง อยู่ในระดับประมาณ 20%
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากการประกาศเลื่อนชำระหนี้กระทำก่อนการเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพียงเล็กน้อย ทำให้มีความไม่แน่นอนจากข้อมูลที่ได้รับจากภาครัฐ Dubai สูง จึงคาดว่าจะมีความผันผวนเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งในตลาดตราสารหนี้ ตลาดทุน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะตลาดการเงินที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์เสี่ยง จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนเพิ่มเติมจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ UAE และ Dubai ในการให้ความมั่นใจนักลงทุนต่างๆ
