เอ็มเอฟซีตั้งเป้าโกยรายได้ธุรกิจใหม่ทั้งไทย-เทศเพิ่มเป็น 50% ดัน 3 บริษัทลูกช่วยเจาะตลาด อสังหาริมทรัพย์ การให้การปรึกษาทางการเงิน และกองทุนช่วยประหยัดพลังงาน ด้าน"ศุภกร"เผยแผนขยายฐานลูกค้ากองทุนรวมปีเสือ เดินหน้าเพิ่มนักวางแผนลงทุนเป็น 60 คน พร้อมดีลสหกรณ์ออมทรัพย์จัดตั้งสาขา Smart Agent อีก 7 แห่ง
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็มเอฟซี เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวมภายในปี 2555 ซึ่งในส่วนนี้ได้นับรวมกองทุนต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากกองประเภทนี้ประมาณ 30% ของรายได้รวมเอาไว้ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับแผนงานดังกล่าว บริษัทได้ทำการจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาอีก 3 บริษัท ในการให้บริการลูกค้าได้แก่ บริษัท MFC Advisory (MFA) ซึ่งจะเน้นการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับลูกค้าและสถาบันต่างๆ โดยจะเน้นไปที่ธุรกิจใหม่ที่ลงทุนในนิติบุคคลเอกชน (Private Equity) ต่างๆ
อีกบริษัทเป็นบริษัท MFC Real Estate Management (MRAM) ที่เน้นการเป็นที่ปรึกษาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรโดยเฉพาะ เพราะบลจ.เอ็มเอฟซีเองมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่เป็นจำนวนมากในปัจจุบันประมาณ 25,000-26,000 ล้านบาท ทั้งพอร์ตเก่าและพอร์ตใหม่รวมกัน
"เอ็มแรม จะเข้ามาช่วยดูแลกองอสังหาฯ และช่วยหาสินทรัพย์ที่น่าลงทุนให้เรา ซึ่งบ้างครั้งการบริหารกองอสังหาจะต้องมีการดูแลบริหารให้มีประสิทธิภาพซึ่งตรงนี้เอ็มแรมจะช่วยเราได้มาก แต่ในอนาคตก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องดูแลแต่เอ็มเอฟซี แต่จะขยายไปลูกค้าภายนอกด้วย"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิต กล่าวต่อว่า บริษัทสุดท้ายจะเป็นบริษัท Energy Service Company (ESCO) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต่อยอดมาจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่จะเน้นการให้คำปรึกษาด้านการประหยัดพลังงานให้กับบริษัทหรือหน่วยงานภาครัฐที่สนใจเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัด แล้วนำค่าพลังงานที่ประหยัดได้นั้นมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับบริษัทตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ เป็นต้น
“ในต่างประเทศมีการจัดตั้งบริษัทรูปแบบนี้กันมาก และในส่วนของ MFA และ ESCO จะรุกทั้งตลาดในประเทศและตลาดในภูมิภาคอาเซียนด้วย ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้เพิ่มเข้ามาให้บริษัทในอนาคตซึ่งเมื่อรวมกับรายได้ในส่วนของกองทุน FIF แล้ว เชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ที่ 50% ของรายได้รวมนั้น อยู่ในวิสัยที่สามารถจะทำได้”
ด้าน นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ในส่วนช่องทางการจำหน่ายของกองทุนรวมนั้น บริษัทจะเน้นขยายฐานนักลงทุนด้วยการเพิ่มจำนวนผู้วางแผนการลงทุน (IP) ขึ้นไปให้ถึง 100 คน ในที่สุด จากปัจจุบันมีอยู่ 42 คน และจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 60 คน ในสิ้นปี2553 นี้ เพื่อใช้ IP เสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง เนื่องจากบริษัทไม่มีเครือข่ายสาขาแบงก์แม่เหมือนบลจ.ลูกแบงก์อื่นๆ
นอกจากนี้บริษัทยังจะเดินหน้าตั้งตัวแทนขายที่ชาญฉลาด (Smart Agent) เพิ่มขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่บริษัทได้ร่วมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ขององค์กรต่างๆ แล้ว 3 แห่ง ได้แก่ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย มหาวิทยลัยเกษตรศาตร์ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่ง Smart Agent นี้เขามีสมาชิกของเขาอยู่แล้วเป็นจำนวนมากจึงเป็นตัวแทนขายให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี โดยในปี2552 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายผ่าน Smart Agent ทั้ง 3 แห่งประมาณ 40 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้(2553) บริษัทจะเพิ่ม Smart Agent ไปในสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ อีก 7 แห่ง รวมเป็น 10 แห่ง โดยโพรดักท์ที่เน้นขายผ่าน Smart Agent เหล่านี้จะเป็นกองทุนประหยัดภาษีและกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้น กองทุนทองคำ หรือกองทุนน้ำมัน ซึ่งจะไม่ไปแย่งฐานเงินฝากกับทางสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีความต้องการเงินทุนเช่นเดียวกัน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็มเอฟซี เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวมภายในปี 2555 ซึ่งในส่วนนี้ได้นับรวมกองทุนต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากกองประเภทนี้ประมาณ 30% ของรายได้รวมเอาไว้ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับแผนงานดังกล่าว บริษัทได้ทำการจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาอีก 3 บริษัท ในการให้บริการลูกค้าได้แก่ บริษัท MFC Advisory (MFA) ซึ่งจะเน้นการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับลูกค้าและสถาบันต่างๆ โดยจะเน้นไปที่ธุรกิจใหม่ที่ลงทุนในนิติบุคคลเอกชน (Private Equity) ต่างๆ
อีกบริษัทเป็นบริษัท MFC Real Estate Management (MRAM) ที่เน้นการเป็นที่ปรึกษาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรโดยเฉพาะ เพราะบลจ.เอ็มเอฟซีเองมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่เป็นจำนวนมากในปัจจุบันประมาณ 25,000-26,000 ล้านบาท ทั้งพอร์ตเก่าและพอร์ตใหม่รวมกัน
"เอ็มแรม จะเข้ามาช่วยดูแลกองอสังหาฯ และช่วยหาสินทรัพย์ที่น่าลงทุนให้เรา ซึ่งบ้างครั้งการบริหารกองอสังหาจะต้องมีการดูแลบริหารให้มีประสิทธิภาพซึ่งตรงนี้เอ็มแรมจะช่วยเราได้มาก แต่ในอนาคตก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องดูแลแต่เอ็มเอฟซี แต่จะขยายไปลูกค้าภายนอกด้วย"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิต กล่าวต่อว่า บริษัทสุดท้ายจะเป็นบริษัท Energy Service Company (ESCO) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต่อยอดมาจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่จะเน้นการให้คำปรึกษาด้านการประหยัดพลังงานให้กับบริษัทหรือหน่วยงานภาครัฐที่สนใจเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัด แล้วนำค่าพลังงานที่ประหยัดได้นั้นมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับบริษัทตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ เป็นต้น
“ในต่างประเทศมีการจัดตั้งบริษัทรูปแบบนี้กันมาก และในส่วนของ MFA และ ESCO จะรุกทั้งตลาดในประเทศและตลาดในภูมิภาคอาเซียนด้วย ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้เพิ่มเข้ามาให้บริษัทในอนาคตซึ่งเมื่อรวมกับรายได้ในส่วนของกองทุน FIF แล้ว เชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ที่ 50% ของรายได้รวมนั้น อยู่ในวิสัยที่สามารถจะทำได้”
ด้าน นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ในส่วนช่องทางการจำหน่ายของกองทุนรวมนั้น บริษัทจะเน้นขยายฐานนักลงทุนด้วยการเพิ่มจำนวนผู้วางแผนการลงทุน (IP) ขึ้นไปให้ถึง 100 คน ในที่สุด จากปัจจุบันมีอยู่ 42 คน และจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 60 คน ในสิ้นปี2553 นี้ เพื่อใช้ IP เสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง เนื่องจากบริษัทไม่มีเครือข่ายสาขาแบงก์แม่เหมือนบลจ.ลูกแบงก์อื่นๆ
นอกจากนี้บริษัทยังจะเดินหน้าตั้งตัวแทนขายที่ชาญฉลาด (Smart Agent) เพิ่มขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่บริษัทได้ร่วมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ขององค์กรต่างๆ แล้ว 3 แห่ง ได้แก่ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย มหาวิทยลัยเกษตรศาตร์ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่ง Smart Agent นี้เขามีสมาชิกของเขาอยู่แล้วเป็นจำนวนมากจึงเป็นตัวแทนขายให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี โดยในปี2552 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายผ่าน Smart Agent ทั้ง 3 แห่งประมาณ 40 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้(2553) บริษัทจะเพิ่ม Smart Agent ไปในสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ อีก 7 แห่ง รวมเป็น 10 แห่ง โดยโพรดักท์ที่เน้นขายผ่าน Smart Agent เหล่านี้จะเป็นกองทุนประหยัดภาษีและกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้น กองทุนทองคำ หรือกองทุนน้ำมัน ซึ่งจะไม่ไปแย่งฐานเงินฝากกับทางสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีความต้องการเงินทุนเช่นเดียวกัน