ในช่วงเวลานี้เชื่อว่า ทุกคนคงใจจดใจจ่อ และเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นี้ ซึ่งหลายคนก็คาดการณ์แตกต่างกันไปว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงมากเพียงใด
แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงมี 2 ระดับคือ ร้ายแรง และร้ายแรงมาก แต่อย่างไรก็ดี เราก็คงได้เเต่ภาวนาให้วันที่ 26 นี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีพร้อมกับไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น.....
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าภาวะการลงทุนและเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ค่อนข้างดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งการลงทุนที่ให้ผลตอบเเทนที่ดีที่สุด คือ การลงทุนในหุ้น และในปีนี้ก็เช่นกันเเม้ว่าผลตอบเเทนจะไม่หวือหวาเหมือนปีที่ผ่านมา แต่เชื่อการลงทุนในหุ้นก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างผลตอบเเทนในภาวะดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อสูงเช่นนี้
วันนี้เราจะพาผู้อ่านไปรู้การบริหารจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Passive Management และ Active Management กัน
โดยคุณ แสงจันทร์ ลี ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้อธิบายถึงข้อดี-ข้อเสียการลงทุนทั้ง 2 แบบว่า การลงทุนแบบ Passive Management หรือ การลงทุนแบบอนุรักษ์ มีข้อดี คือ นักลงทุนทราบว่าผลตอบแทนและการแกว่งตัวของผลตอบแทนจะเป็นไปตาม Index และ ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนต่ำกว่า
ขณะที่ข้อเสียนั้นคือ นักลงทุนต้องยอมรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เป็นไปตาม Index ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด ส่งผลให้นักลงทุนไม่สามารถหลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวได้
และมื่อผู้จัดการกองทุนไม่มีอำนาจในการตัดสินใจลงทุนต้องมีการลงทุนในหุ้นทั้ง 100% ทำให้ไม่สามารถลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้ แม้ในบางช่วงเวลา เช่น ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
ส่วการบริหารพอร์ตหุ้นหรือ การลงทุนแบบ Active Management นั้นมีข้อดี คือ ผู้จัดการกองทุนมีการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ และสามารถเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นที่ได้รับประโยชน์ในแต่ละช่วงของภาวะเศรษฐกิจได้
ขณะเดียวกันผู้จัดการกองทุนสามารถที่ปรับพอร์ตการลงทุนได้ตลอดเวลา โดยดูจังหวะการลงทุน การถือหุ้นและเงินสดในแต่ละช่วงให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2551 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกที่จะเพิ่มการถือเงินสด และลดการลงทุนในหุ้น ส่งผลให้มีผลตอบแทนจากการลงทุนลดลงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถ Outperform ตลาดได้ ส่วนข้อเสียของการบริหารแบบ Active นั้นจะ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนสูงกว่าและ ผลการดำเนินงานขึ้นอยู่กับผู้จัดการกองทุน ประสบการณ์ และการตัดสินใจลงทุน
สำรวจตัวเองก่อนลงทุน
สำหรับนักลงทุนสามารถเลือกที่จะลงทุนในแบบ Passive Management และ Active Management ได้นั้น ต้องพิจารณาจาก เวลาในการติดตามข้อมูล ความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนของแต่ละบุคคลเป็นหลัก
โดยทั่วไปนักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลด้านการลงทุน มักจะเลือกให้ผู้จัดการกองทุนทำการลงทุนแทนตัวเอง ก็ควรเลือกลงทุนในกองทุนแบบ Active เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่ในการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศแล้วนำมาซึ่งแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับนโยบายของกองทุนนั้นๆ ซึ่งกองทุนนั้นอาจจะเป็นแบบ Active ซึ่งผลตอบแทนจะแกว่งตัวกว้างเมื่อเทียบกับ Benchmark หรือเป็นแบบ Semi-Active ซึ่งผลตอบแทนจะแกว่งตัวแคบกว่า
ส่วนนักลงทุนที่มีความรู้ด้านการลงทุน มีเวลาศึกษาข้อมูลการลงทุน และต้องการเลือกลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม มักจะเลือกกองทุนประเภท Passive Management และจะใช้การซื้อหรือขายกองทุนเพื่อกระจายการลงทุนไปยังผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆด้วยตนเอง และทำให้นักลงทุนสามารถทราบผลตอบแทนที่เกิดขึ้นว่าจะเป็นไปตามดัชนีตลาด หรือสภาวะตลาดที่เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นยังมีความผันผวนเช่นนี้ เเสงจันทร์ แนะนำว่า ตลาดหุ้นจะยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีข่าวสารทั้งทางลบและบวก ที่จะกระทบต่อตลาดหุ้น โดยตรง ซึ่งการบริหารพอร์ตหุ้นแบบ Active จะมีความคล่องตัวกว่า สามารถปรับเปลี่ยนตามสถานะการณ์และผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการถือเงินสดเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่มีความผันผวน
ประกอบกับผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนไปถือกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีลักษณะ Defensive เพิ่มขึ้น และในช่วงใกล้ฤดูการจ่ายเงินปันผล ผู้จัดการกองทุนยังสามารถเพิ่มน้ำหนักและเลือกหุ้นที่จ่ายเงินปันผลที่ดี หรือหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ( Value Stock) ซึ่งจะได้เปรียบกองทุนที่เป็นแบบ Passive ที่จะต้องลงทุนตาม Index ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้
แสงจันทร์ ทิ้งท้ายอีกว่า ใน บลจ. กรุงไทย มีกองทุนหุ้นที่บริหารทั้ง 2 แบบ โดย แบบ Passive มีเพียง 1 กอง คือ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นระยะยาว SET 50 ( KSET50LTF ) ส่วนกองทุนหุ้นส่วนใหญ่เป็นการบริหารแบบ Active เช่นกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) กองทุนเปิดกรุงไทย-ทรีนีตี้ปันผล (KTTN) กองทุนเปิดกรุงไทยผสมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF1) กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นระยะยาว(KTLF) และกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นระยะยาว 70/30 (KTLF70/30)
โดยผลการดำเนินงานนั้น ถ้าเป็นระยะสั้นในปีนี้ หรือปี 2551 กองทุนแบบ Active จะให้ผลตอบแทนมีทั้งสูงกว่าต่ำกว่าและประมาณเท่ากับแบบ Passive แต่ถ้าดูผลตอบแทนในระยะยาว เช่น ระยะเวลา 2 ปี กองทุนของบลจ. กรุงไทยที่เป็นแบบ Active มีผลตอบแทนเป็นบวก
ในขณะที่ SET Index และ SET 50 Index -14.4 % และ -17.45% ตามลำดับ และถ้าดูผลตอบแทนระยะเวลา 3 ปีนั้น SET Index และ SET 50 Index ปรับเพิ่มขึ้น 8% และ 10% ตามลำดับ แต่กองทุนของ บลจ. กรุงไทย เช่น กองทุน KTTN และ กองทุน RMF1 และกองทุน KTLF ผลตอบแทน 49.55% , 50.29% และ 40.53% ตามลำดับ