บลจ.กรุงไทย เปลี่ยนเเนวบริหารพอร์ตกองหุ้นเป็นแบบ Active Management รับตลาดหุ้นปี 53 พร้อมมองปัจจัยมาบตาพุด เเละการเมือง ยังกดดัน SET คาดดัชนีตลาดหุ้นปีเสือ เคลื่อนไหว 680-850 จุด
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการบริหารพอร์ตกองทุนตราสารทุนในปี 2553 นี้ เราจะบริหารกองทุนแบบ Active Management มากขึ้น โดยรูปเเบบการทุนอย่างมีระบบแบบแผนและคำนึงถึงผลตอบแทนที่เทียบต่อความเสี่ยง
ทั้งนี้ การคัดเลือกหุ้นนั้นจะมีให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีกระแสเงินสดที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลเเละปันผลที่ดี มีหนี้สินน้อย โดยกลุ่มหุ้นที่ให้น่าสนใจคือ หุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นกลุ่มทรัพยากร เเละหุ้นกลุ่มการบริการ เป็นต้น
ขณะเดียวกันแนวโน้มตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ในปีนี้ คาดว่าจะได้รับผลดีจากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว รวมทั้งสภาพคล่องทางการเงินที่มีอยู่ในระดับสูงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนอาจผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอยู่ในขณะนี้ ยังมีความเปราะบาง และอาจมีแรงเทขายทำกำไรในระยะสั้นจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนเเนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของปี 2553 นี้คาดว่า จะมี 2 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นคือ เรื่องมาบตาพุด เเละ ปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน ทั้งนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 53 นี้จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 680-850 จุด
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ขยายตัว 18-19% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาขยายตัวกว่า 20% โดยมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการกว่า 222,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551 โดยการเติบโตของ AUM ในปีนี้จะมาจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนส่วนบุคคล
รวมทั้งจากการรับบริหารกองทุนประกันสังคม ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท และ กองทุนของสภากาชาด ทั้งนี้คาดว่าจะได้รับงานบริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เราจะรุกตลาดกองทุนส่วนบุคคลมากขึ้นในปีนี้ และมีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นในประเทศ 1 กองโดยร่วมกับธนาคารซิตี้แบงก์ ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนปีนี้เติบโต 12-15% จากปี 52 เติบโตประมาณ 20% เหตุที่อัตราเติบโตลดลงเพราะธุรกิจมีฐานที่ใหญ่ขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ ในปีนี้อีก 2 กองทุน ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับผู้บริหารรัฐสาหกิจทั้งสองแห่ง ที่มีแผนระดมทุนในปีนี้