xs
xsm
sm
md
lg

เลือกลงทุนอย่างไร? กับช่วงรอยต่อ"ดอกเบี้ย"ขาขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“การแข่งขันกันระดมเงินจากประชาชนทั้งภาครัฐ สถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ทั่วไปที่ต้องการเงินไปปล่อยสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยจึงน่าจะสูงขึ้นเพื่อจูงใจให้คนมาฝากเงินหรือมาซื้อพันธบัตร ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้จึงควรจะลงทุนในระยะสั้นๆ ไว้ก่อน ไม่ควรล็อคเงินยาวไป"

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าน่าจะมีแนวโน้มแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเอง ในปีนี้ก็สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เช่นกัน สอดคล้องกับนักวิเคราะห์หลายสำนัก ที่ประมาณการณ์เอาไว้ว่าน่าจะปรับขึ้นมาเป็นร้อยละ 3 – 4 พร้อมๆ กับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตด้วย

สถานการณ์แบบนี้ ทำให้นักลงทุนหลายรายยังคงต้องรอดูสถานกาณ์ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ก่อน เพื่อรอจังหวะการลงทุนที่ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด และเสี่ยงน้อยที่สุด...เอาเป็นว่า เราไปอัปเดทข้อมูลการลงทุน และฟังคำแนะนำดีดีจากผู้รู้กันก่อนว่า สถานการณ์การลงทุนในอนาคตจะไปในทิศทางไหน และจะเข้าไปลงทุนอะไรดี โดยเฉพาะในช่วงก่อนอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้นต่อไป

วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคม บลจ. และกรรมการผู้จัดการกองทุนรวม บลจ. บัวหลวง บอกว่า ปีนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลายขึ้นแล้วจากมีอาการโคม่ามาตั้งแต่ปีปี 2551 ที่ผ่านมา ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเอง ก็กำลังดีขึ้นจากการผลักดันโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โอกาสในการลงทุนจึงยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องจับตาดูความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ ไปด้วย

โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2551 ถึง 2552 ซึ่งในปีนี้จะเริ่มมีอัตราการเติบโตเป็นบวกต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา

ในด้านอัตราดอกเบี้ย มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในกลางปี หรือ ในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เงินย้ายจากตลาด Risky Asset เช่นหุ้น (ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นแต่ผลตอบแทนคาดหวังน้อยลง) ไปยังตลาดเงินและพันธบัตรซึ่งเสี่ยงน้อยกว่าแต่ได้ผลตอบแทนมากขึ้นก็ได้
 
นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย ก็อาจจะสูงขึ้นได้ด้วยปริมาณการออกพันธบัตรต่างๆ ที่รัฐต้องระดมกู้จากภาคประชาชนเพื่อนำไปค้ำจุนโครงการต่างๆ ตามนโยบายผลักดันเศรษฐกิจของภาครัฐ และการที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเพราะมองว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มเดินหน้า จึงน่าจะต้องการเงินฝากมากขึ้น

ดังนั้น เมื่อมีการแข่งขันกันระดมเงินจากประชาชนทั้งภาครัฐ สถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ทั่วไปที่ต้องการเงินไปปล่อยสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยจึงน่าจะสูงขึ้นเพื่อจูงใจให้คนมาฝากเงินหรือมาซื้อพันธบัตร ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้จึงควรจะลงทุนในระยะสั้นๆ ไว้ก่อน ไม่ควรล็อคเงินยาวไป

วิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. แอสเซท พลัส บอกว่า แม้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาส 1 ปี 2553 น่าจะมีการปรับขึ้นมาโดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 3-4% ซึ่งมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นต่างๆ จากภาครัฐแต่คาดว่าในไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้ อัตราเงินเฟ้อน่าจะมีการปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3% ได้ เนื่องจากฐานของอัตราเงินเฟ้อในปีที่ผ่านมานั้นอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคอื่นๆไม่น่าจะปรับขึ้นได้มากเมื่อเปรียบกับระดับราคาปัจจุบัน

โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับปัจจุบัน หากว่าระดับราคาน้ำมันต่ำกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 หากระดับราคาน้ำมันปรับตัวสูงกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพื่อลดแรงกดดันด้านราคาที่จะสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน

"ในช่วงนี้จึงยังคงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี เพื่อรอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า สำหรับการลงทุนทั่วไปนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนพักการลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรอจังหวะกลับเข้าลงทุน โดยเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างกองทุนตลาดเงินเป็นหลัก ซึ่งกองทุนที่เราอยากแนะนำคือ กองทุนเปิดฟิลลิปบริหารเงิน ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลลิป เนื่องจากหลักทรัพย์ที่กองทุนดังกล่าวเลือกลงทุนเป็นตราสารหนี้ภาครัฐ และเงินฝากกว่า 98% ซึ่งผลการดำเนินงานมีความสม่ำเสมอ

ขณะเดียวกัน ช่วงนี้ยังมีเรื่องการปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเรามองว่าผลกระทบจากข่าวที่เกิดขึ้นทั้งจาก จีน และสหรัฐฯ จะเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วเรายังคงมองเศรษฐกิจโลกจะยังคงฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ นอกจากนี้เรามองว่า ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงตามที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ซึ่งเราอยากแนะนำทยอยสะสมกองทุนน้ำมันด้วย

"สานุพงศ์" บอกต่อว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังแสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง รวมถึงการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร และ Googleที่น่าผิดหวัง แม้ว่าจะได้เห็นผลประกอบการที่ดีในกลุ่มเทคโนโลยีก็ตาม ทำให้ดัชนี Dow Jones มีความผันผวนก่อนที่จะปรับตัวลดลงแรงในปลายสัปดาห์ เนื่องจากการประกาศของประธานาธิบดี โอบามาในการคุมเข้มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารให้เหมาะสม
 
อย่างไรก็ตามเรามองการออกกฏเกณฑ์ดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นและให้จับตาการประกาศผลประกอบการหุ้นสหรัฐฯ และแถลงการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจีนได้ออกมาตรการควบคุมสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง โดยล่าสุดประกาศตัวเลข GDP ของไตรมาส 4/52 เติบโตขึ้น 10.70% ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดความกังวลต่อมาตรการที่จะออกมาเพิ่มเติม

กำลังโหลดความคิดเห็น