โบรกเกอร์กองทุนรวม ประเมินตลาดหุ้นทั่วโลกเตรียมปรับฐาน เเนะนักลงทุนพักเงินกองทุนตลาดเงินไปก่อน พร้อมมองตลาดเกิดใหม่ยังน่าลงทุน เตรียมทยอยเก็บหุ้น Emerging Marke มั่นใจให้ผลตอบเเทนที่ดีในอนาคต
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับการลงทุนทั่วไปนั้น อยากเเนะนำให้นักลงทุนพักการลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรอจังหวะกลับเข้าลงทุน โดยเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างกองทุนตลาดเงินเป็นหลัก ซึ่งกองทุนที่เราอยากเเนะนำคือ กองทุนเปิดฟิลลิปบริหารเงิน ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลลิป เนื่องจากหลักทรัพย์ที่กองทุนดังกล่าวเลือกลงทุนเป็นตราสารหนี้ภาครัฐ และเงินฝากกว่า 98% ซึ่งผลการดำเนินงานมีความสม่ำเสมอ
ขณะเดียวกันช่วงนี้ยังมีเรื่องการปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเรามองว่าผลกระทบจากข่าวที่เกิดขึ้นทั้งจาก จีน และสหรัฐฯ จะเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วเรายังคงมองเศรษฐกิจโลกจะยังคงฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ ดังนั้นเรายังคงคำแนะนำทยอยสะสมในกองทุน Emerging Market ซึ่งยังคงแนะนำ กองทุนเปิดกรุงศรี-อลิอันซ์จีไอ บริค สตาร์ และกองทุนจีนซึ่งมีความหลากหลายมากขึ้นจากการออกกองใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ Master Fund ที่ไปลงทุน
นอกจากนี้เรามองว่า ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงตามที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ซึ่งเราอยากแนะนำทยอยสะสมกองทุนน้ำมัน คือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ ของบลจ.แอสเซทพลั เ และ กองทุนเปิดเค ออยล์ ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีนโยบายในการ ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนกันแต่การซื้อขายจะไม่สามารถเห็นราคาน้ำมันที่ใช้อ้างอิงในการคำนวณ NAV ได้ล่วงหน้าเหมือนกองทุนอื่นอย่าง กองทุนเปิดทิสโก้ออยล์ฟันด์, กองทุนเปิดกรุงศรี ออยล์ และ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์ รวมถึงกองทุนทองคำ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสโกลด์ และกองทุนเปิดเค โกลด์
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้โดยรวมยังแสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง รวมถึงการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร และ Googleที่น่าผิดหวัง แม้ว่าจะได้เห็นผลประกอบการที่ดีในกลุ่มเทคโนโลยีก็ตาม ทำให้ดัชนี Dow Jones มีความผันผวนก่อนที่จะปรับตัวลดลงแรงในปลายสัปดาห์ เนื่องจากการประกาศของประธานาธิบดี โอบามาในการคุมเข้มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารให้เหมาะสม อย่างไรก็ตามเรามองการออกกฏเกณฑ์ดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นและให้จับตาการประกาศผลประกอบการหุ้นสหรัฐฯ และแถลงการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจีนได้ออกมาตรการควบคุมสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง โดยล่าสุดประกาศตัวเลข GDP ของไตรมาส 4/52 เติบโตขึ้น 10.70% ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดความกังวลต่อมาตรการที่จะออกมาเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามเรามองการออกมาตรการดังกล่าวเป็นการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่มากเกินไป แต่ไม่ได้เป็นการยับยั้งการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งในระยะยาวแล้วตลาดจะกลับมาให้ความสนใจต่อการเติบโตของจีนอีกครั้ง สำหรับตลาดหุ้นไทยเองก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน นอกจากปัจจัยภายนอกจากจีน และสหรัฐฯ แล้ว ยังได้รับผลกระทบจากการเมืองที่ดูจะเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันมากขึ้น
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับการลงทุนทั่วไปนั้น อยากเเนะนำให้นักลงทุนพักการลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรอจังหวะกลับเข้าลงทุน โดยเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างกองทุนตลาดเงินเป็นหลัก ซึ่งกองทุนที่เราอยากเเนะนำคือ กองทุนเปิดฟิลลิปบริหารเงิน ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลลิป เนื่องจากหลักทรัพย์ที่กองทุนดังกล่าวเลือกลงทุนเป็นตราสารหนี้ภาครัฐ และเงินฝากกว่า 98% ซึ่งผลการดำเนินงานมีความสม่ำเสมอ
ขณะเดียวกันช่วงนี้ยังมีเรื่องการปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเรามองว่าผลกระทบจากข่าวที่เกิดขึ้นทั้งจาก จีน และสหรัฐฯ จะเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วเรายังคงมองเศรษฐกิจโลกจะยังคงฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ ดังนั้นเรายังคงคำแนะนำทยอยสะสมในกองทุน Emerging Market ซึ่งยังคงแนะนำ กองทุนเปิดกรุงศรี-อลิอันซ์จีไอ บริค สตาร์ และกองทุนจีนซึ่งมีความหลากหลายมากขึ้นจากการออกกองใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ Master Fund ที่ไปลงทุน
นอกจากนี้เรามองว่า ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงตามที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ซึ่งเราอยากแนะนำทยอยสะสมกองทุนน้ำมัน คือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ ของบลจ.แอสเซทพลั เ และ กองทุนเปิดเค ออยล์ ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีนโยบายในการ ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนกันแต่การซื้อขายจะไม่สามารถเห็นราคาน้ำมันที่ใช้อ้างอิงในการคำนวณ NAV ได้ล่วงหน้าเหมือนกองทุนอื่นอย่าง กองทุนเปิดทิสโก้ออยล์ฟันด์, กองทุนเปิดกรุงศรี ออยล์ และ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์ รวมถึงกองทุนทองคำ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสโกลด์ และกองทุนเปิดเค โกลด์
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้โดยรวมยังแสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง รวมถึงการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร และ Googleที่น่าผิดหวัง แม้ว่าจะได้เห็นผลประกอบการที่ดีในกลุ่มเทคโนโลยีก็ตาม ทำให้ดัชนี Dow Jones มีความผันผวนก่อนที่จะปรับตัวลดลงแรงในปลายสัปดาห์ เนื่องจากการประกาศของประธานาธิบดี โอบามาในการคุมเข้มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารให้เหมาะสม อย่างไรก็ตามเรามองการออกกฏเกณฑ์ดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นและให้จับตาการประกาศผลประกอบการหุ้นสหรัฐฯ และแถลงการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจีนได้ออกมาตรการควบคุมสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง โดยล่าสุดประกาศตัวเลข GDP ของไตรมาส 4/52 เติบโตขึ้น 10.70% ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดความกังวลต่อมาตรการที่จะออกมาเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามเรามองการออกมาตรการดังกล่าวเป็นการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่มากเกินไป แต่ไม่ได้เป็นการยับยั้งการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งในระยะยาวแล้วตลาดจะกลับมาให้ความสนใจต่อการเติบโตของจีนอีกครั้ง สำหรับตลาดหุ้นไทยเองก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน นอกจากปัจจัยภายนอกจากจีน และสหรัฐฯ แล้ว ยังได้รับผลกระทบจากการเมืองที่ดูจะเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันมากขึ้น