xs
xsm
sm
md
lg

ส่องเศรษฐกิจปีเสือ หุ้นรุ่งตราสารหนี้ร่วง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มีความเห็นออกมาอย่างต่อเนื่องทีเดียวสำหรับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนของโลก รวมถึงประเทศไทย และส่วนใหญ่มองภาพเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกันคือ ดีขึ้น

วันนี้ก็มีอีกความเห็นมานำเสนอ เพื่อนักลงทุนจะได้นำข้อมูลไปรวบรวมและประมวลว่าภาพที่ว่า สดใส สวยหรูนั้นจะเป็นจริงตามที่นักวเคราะห์มองกันหรือไม่ ก่อนที่จะทำการลงทุนต่อไปในอนาคต เริ่มกันที่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้...

สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุนธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ เชื่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะสดใสหลังจากในปีที่ผ่านมาประสบกับปัญหาจนทำให้เศรษฐกิจหดตัวในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ซึ่งจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม(จีดีพี) ในปีที่ผ่านมาก็คาดว่าจะหดตัวประมาณ 3-4% แต่ในปีนี้น่าเศรษฐกิจน่าจะเป็นคนละภาพกัน เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาวิฤตสถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกาเริ่มบรรเทาลง หลังจากทุกประเทศพยายามแก่ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยจะเห็นได้จากการที่ธนาคารกลางในหลายประเทศหันมาใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

"ปีนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 3-5% แต่สำหรับประเทศที่เป็นต้นตอของปัญหาและได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปอาจจะโตได้ไม่มากนักคือประมาณ 2-3%"สาห์รัชกล่าว

เป็นอันว่าตัวเลขบ่งชี้ของเศรษฐกิจโลกน่าจะดีขึ้น แต่ที่น่าจับตาเห็นจะเป็น เอเชียผงาดคำจัดความจากของภาวะเศรษฐกิจที่ร้อนแรง และมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

สาห์รัช มองว่า เศรษฐกิจ ฝั่งเอเชียน่าจะกลับมาเป็นพระเอกอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งมองภูมิภาคเอเชียอัตราการขยายตัวของจีดีพีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-7% (ไม่รวมญี่ปุ่น) และน่าจะกลายเป็นผู้นำของเศรษฐกิจโลกได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยเศรษฐกิจของประเทศจีนและอินเดียวยังคงมีความร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนที่การขยายของเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาสูงถึง 8-9% ส่วนในปีนี้ก็น่าจะขยายตัวได้ถึง 10% ขณะที่อินเดียเองก็น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 8% ในปีนี้และปีหน้า

ขณะที่ ประเทศไทยเองก็น่าจะโตขึ้นได้เท่าที่เห็นตัวเลขตอนนี้คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4% ได้เนื่องจากยังปัจจัยทางการเมือง และความไม่ชัดเจนของโครงการมาบตาพุดอยู่

สรุปแล้วเศรษฐกิจปีนี้น่าจะดีขึ้น โดยมีเอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าจับตา แต่ถ้ามองประเทศไทยแล้วตามมุมมองข้างต้น คงห่วงถ่วงตุ้มในทางลบมากหน่อย แต่ก็มีนัยในทิศทางที่ดีเช่นกัน หากการแก้ปัญหามาบตาพุดเกิดความชัดเจนขึ้นมา เพราะตามมุมมองแล้วเศรษฐกิจประเทศไทยน่าจะขยายตัวเช่นกัน

 เปิดช่องลงทุนปีเสือ

การลงทุนในปี 2010 นั้น สาห์รัช คาดว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจอยู่ แต่ผลตอบแทนคงจะไม่สูงในระดับ 60-70% เหมือนในปีที่ผานมา แต่จากภาพรวมจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็น่าจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 15-20% ได้ โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะขยายตัวได้ในระดับ 850 จุด หุ้นทั่วโลกน่าจะมีผลตอบแทนที่ 20-30% โดยมีจีนและอินเดียที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูง
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้มองว่าผลตอบแทนยังคงถูกกดจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามยังมีหลายคนมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อัตราดอกเบี้ยน่าจะมีการปรับขึ้นได้ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียเช่น จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่า เนื่องจากแรงกดดันของเงินเฟ้อที่สังเกตได้จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ส่วนประเทศไทยก็น่าจะปรับขึ้นเช่นกัน

"การลงทุนในตราสารหนี้อายุ 3-5 ปี จะไม่ควรเสี่ยงเพราะอาจมีปัญหาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนกองตราสารหนี้ระยะสั้นก็น่าจะถูกอัตราเงินเฟ้อกลบจนผลตอบแทนต่ำลง"สาห์รัชกล่าว

เป็นอันว่าการลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจมากกว่าจากมุมมองของคุณสาห์รัช แต่ใช่ว่าทุกคนจะรับความเสี่ยงและความผันผวนได้ ซึ่งนักลงทุนที่เป็นโรคหัวใจก็ต้องทนรับสภาพดอกเบี้ยแสนถูกต่อไป แต่มีข้อที่ต้องระวังก็คืออายุของตราสารที่จะลงทุน เพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น อายุตราสารหนี้ก็น่าจะถือให้สั้นลงทุนด้วยเช่นกัน

 ลุงแซมก็น่าเสี่ยง

การลงทุนในต่างประเทศปีนี้ก็ยังคงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย เป็นอีกความคิดเห็นของ หนุ่มนักลงทุนไฟแรงท่านนี้ โดยยกเหตุผลที่ว่า ฐานการเติบโตของจีนนั้นส่วนใหญ่จากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจากการขยายตัวของเศรษฐกิจช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้ภาครัฐต้องมีการสร้างสาธาณูปโภคเพิ่มขึ้นก็น่าจะมีผลต่อการลงทุนในประเทศ และหากมองเรื่องการส่งออกของจีนเองยังไม่น่าวิตกมากนัก เพราะในปีที่ผ่านมาประเทศจีนแสดงให้เห็นแล้วการพึ่งพาการบริโภคในประเทศมากกว่าท่ามกลางการหดตัวของการส่งออก

ส่วน  การลงทุนในสหรัฐอเมริการ เองก็คงจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งและน่าจะมีอัพไซด์ขาขึ้นอยุ่ แต่จะไม่เหมือนเอเชียเนื่องจากเป็นประเทศต้นตอของปัญหา และหุ้นบางตัวของสหรัฐเองมีการปรับตัวขึ้นมาแรงมากเกินไป อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะมีผลตอบแทนในระดับ15-20% ได้เช่นกัน

ส่วนที่ฮอตฮิตในปีที่ผ่านมาอย่างการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ปีนี้ก็น่าจะให้ผลตอบแทนดีเช่กนัน โดย หากมองราคาน้ำมันที่ 70 กว่าเหรียญดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล แล้วราคาน่าจะมีโอกาสขึ้นอีกถึง 85 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลได้ เนื่องจากที่ผ่านมาน้ำมันมีปัญหาด้านซัพพลายมาตลอด และช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวโครงการขุดเจาะและสำรวจแหล่งน้ำมันใหม่ก็ชะลอตามไปด้วย ซึ่งน่าจะส่งผลต่อซัพพลายของน้ำมันในอนาคต แต่ในส่วนของดีมานต์นั้นขณะนี้ปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ขณะที่ การลงทุนในทองคำปีนี้ เชื่อว่าผลตอบแทนจะไม่โดดเด่นเหมือนปีที่ผ่านมา และการปรับตัวของราคาทองคำนั้นมักจะดีในช่วงที่เกิดวิกฤตเป็นส่วนใหญ่ แต่ขณะนี้มองว่าปัจจัยเพิ่มเข้ามาคือการลงทุน ซึ่งจะเห็นได้ว่ากองทุนประเภทอีทีเอฟทองคำ มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งหากมองการสำรองทองคำของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประมาณ 8 พันตัน กับของIMF ที่ประมาณ 3 พันตันแล้ว มูลค่าการลงทุนที่ระดับ 1.6 พันตันของนักลงทุนก็เป็นตัวเลขที่สูงมาก และน้อกจากนี้ล่าสุดประเทศอินเดียเองก็มีการซื้อทองคำจาก IMF เพิ่มอีก 200 ตัน รวมถึงการที่จีนซึ่งมีทุนสำรองระหว่างประเทศมหาศาลจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น จึงอาจหันไปเก็บสำรองทองคำเพิ่มขึ้นส่งผลให้บทบาทของค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ในอนาคต

 ทั้งหมดเป็นอีกหนึ่งความคิดเห็นหนึ่งที่น่าสนใจ และเหมาะที่จะนำไปรวบรวมเก็บไว้สำหรับนักลงทุนในคลังสมองก่อนการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่า การจัดพอร์ตมีความสำคัญ แต่การกำจัดความโลภก็สำคัญเช่นกัน   
กำลังโหลดความคิดเห็น