xs
xsm
sm
md
lg

KTAMงัดกลยุทธ์Bottom-up เน้นเก็บหุ้นเติบโตดี-จ่ายปันผลสูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กรุงไทย เดินกลยุทธ์ลงทุนหุ้นแบบ Bottom-up คัดหุ้นเติบโตสูง กระเเสเงินสดดี เเละจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 5% พร้อมคาดการณ์ 3 เดือนเเรก ดัชนี SET เคลื่อนไหวประมาณ 675-755 จุด


รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนเดือนมกราคม-มีนาคม 2553ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะเคลื่อนไหวในช่วงประมาณ 675-755 จุด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในประเทศเป็นสำคัญ อันได้เเก่ความไม่ชัดเจนในการเเก้ไขปัญหาการระงับโครงการในนิคมอุตสหกรรมมาบตาพุด ความขัดเเย้งทางการเมืองภายในประเทศ

ในขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศนักลงทุนจะเฝ้าติดตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯและสภาพคล่องในระบบการเงินโลก ภายหลังการสิ้นสุดลงของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเริ่มทยอยลดลง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้านี้ คือ การลงทุนในปี 2553 จะเน้นการลงทุนที่มีลักษณะที่เป็น Bottom-up มากขึ้น (More selective / Stock Picking) ซึ่งจะเเตกต่างจากปี 2552 ที่มีลักษณะการลงทุนเเบบ Top-down ที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนเปลงของภาวะทางเศรษฐกิจ เเละนโยบายการเงิน การคลัง

โดยปี 2553 จะเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง มีกระแสสเงินสดดี และมีราคาที่สอดคล้องกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน

โดยจะลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับที่สูงซึ่งต้องมากกว่า 5% ขึ้นไป พร้อมทั้งลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเเนวโน้มฟิ้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เเละกลุ่มธุรกิจบริการ

ขณะเดียวกันต้องเลือกลงทุนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นต้น

นอกจากนี้ควรลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการค้าขายโลก ที่มีเเนวโน้มของผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานปี 2552 เช่นกลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรกรรม เเละกลุ่มอุตสหกรรมอาหาร

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนตราสารหนี้ในไตรมาส 1 ปี 2553 จะกระจายการลงทุนไปในช่วงอายุของตราสารหนี้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการปรับพอร์ต พร้อมทยอยเพิ่ม Duration เมื่อ Yield ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปัจจบัน และทยอยลด Duration เมื่อ Yield ปรับตัวลดลง

ส่วนสถานการณ์การลงทุนตราสารหนี้ไตรมาส 1 ของปี นี้ คาดการณ์ว่า Yield Curve จะมีการเคลื่อนไหวที่กว้างขึ้นกว่าไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 โดยมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบได้เเก่ เม็ดเงินจากกองทุนเกาหลีใต้ที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตราสาหนี้ภายในประเทศ

ซึ่งสภาพคล่องส่วนเกินในระบบยังมีคงมีเหลืออยู่เพียงพอกับความต้องการกู้ยืมเงินของภาครัฐเเละเอกชน ทั้งนี้ซัพพลายใหม่มีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม

เนื่องจากการจัดเก็บภาษีได้สูงกว่าเป้าเเละการเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้ช้ากว่าเป้า พร้อมทั้งกรณีมาตาพุด ที่อาจทำให้ซัพพลาย ของตราสารหนี้ภาคเอกชยลดลง

ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยอยู่ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งเงินเฟ้อทั่วไปมีเเนวโน้มเร่งตัวขึ้น เนื่องจากการที่นักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจไทยเเละสหรัฐอเมริกา น่าจะผ่านจุดต้ำสุดไปแล้วทำให้ผลอตบแทนจากกาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีเเนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเป็นต้น

ทั้งนี้บลจ.กรุงไทย กำลังอยู่ในช่วงเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 5 อีกครั้ง โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ โดยกองทุนดังกล่าวให้ผลตอบเเทนประมาณ 0.90% ต่อปี

ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อเเละขายคือนหน่วยลงทุนได้ทุกระยะ 6 เดือน และผลตอบเเทนที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย ทั้งนี้กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 5 เปิดขายหน่วยลงทุนเเล้วตั้งเเต่วันนี้ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2553
กำลังโหลดความคิดเห็น