บลจ. บีที ตั้งแผนออกพร๊อพเพอร์ตี้ฟันด์ไตรมาสละ 1 กองทุน เน้นออก Free Hold สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน รุกดูโรงแรมตาม ภูเก็ต สมุย เชื่อนักท่องเที่ยวมีต่อเนื่อง อาจดันยิลด์เพิ่มได้
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีความตั้งใจอยากที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 3 – 4 กองทุน หรือเป็นไปได้จะเป็นการออกในทุก ๆ ไตรมาส ซึ่งกองทุนดังกล่าวส่วนใหญ่แล้วบริษัทยังคงเน้นประเภท Free Hold (แบบเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์)
ทั้งนี้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว บริษัทจะให้ความสำคัญกับโครงการที่ตั้งอยู่ในจังหวัดหัวเมือง หรือเมืองที่เป็นการค้าการท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย และมีทำเลติดกับชายหาดทะเล เพื่อให้ได้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เพราะโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง
“บริษัทมองว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือ หรือคอมมูนิตี้ยังเป็นกองทุนที่น่าสนใจ โดยบริษัทได้ตั้งเป้าว่าจะพยายามออกให้ได้อย่างน้อยไตรมาสละ 1 กองทุน เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่นักลงทุนต่อที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในกองทุนดังกล่าวต่อไป”
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ต้องเลือกลงทุนในประเภท Free Hold หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ มาเป็นเจ้าของซึ่งมีความน่าสนใจมากกว่ากองทุนประเภท Lease Hold หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ไปซื้อสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้
“เราจะเลือกโรงแรมที่มีประวัติการดำเนินงานตั้งแต่ 4-5 ปีขึ้นไป เพราะเชื่อว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าโรงแรมที่เปิดใหม่ และมีระดับ 3-4 ดาวเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมระดับ 5-6 ดาวจะหายากมาก ตลาดเหลือน้อยแล้ว ทำให้เราหันไปมองหาโรงแรมขนาดเล็ก แต่มีอัตราการเข้าพักสูง ติดชายหาดทะเล และบริหารโดยกลุ่มเครือข่ายต่างประเทศ เพื่อช่วยแบ่งเบาความเสี่ยง เราเชื่อว่านักท่องเที่ยวยังชอบเที่ยวทะเลอยู่ และมั่นใจว่าเขาจะดึงลูกค้าต่างชาติเข้ามาอย่างแน่นอน”นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การเข้าไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ต้องเข้าไปลงทุนในระยะยาวจึงจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น ถ้านักลงทุนจะเลือกลงทุน น่าจะแบ่งเงินบางส่วนเพื่อเป็นการกระจายการลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย ซึ่งถ้าเทียบกับการลงทุนในหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่ออกมาระยะเวลายาวเช่นเดียวกัน นักลงทุนบางรายอาจจะมองว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่เมื่อเทียบกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากนักลงทุนอาจจะไม่ทราบ ว่าบริษัทที่เราเข้าไปลงทุนนั้นมีฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร หรือมีความมั่นคงมากน้อยแค่ไหน และในอีก 5 ปีข้างหน้าทรัพย์สินของบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร