คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด มีกำหนดจะประชุมรอบสุดท้ายของปีเพื่อพิจารณาทิศทางนโยบายการเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ย Fed Funds และมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative easing measures) ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีความเปราะบาง และยังต้องอาศัยเวลาอีกระยะกว่าจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ ผนวกกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่เร่งตัวขึ้นมากจนบีบคั้นให้เฟดจำเป็นต้องรีบดำเนินการปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินไปสู่สภาวะที่ผ่อนคลายน้อยลงเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเฟดน่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% ในการประชุมวันที่ 15-16 ธันวาคม 2552 นี้ และอาจต่อเนื่องต่อไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2553
ขณะที่เฟดน่าจะทยอยลดบทบาทของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative easing measures) ลงโดยไม่มีการต่ออายุโครงการรับซื้อหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ จากกำหนดเวลาที่จะทยอยสิ้นสุดภายในไตรมาสแรกของปี 2553 นอกจากนี้ เฟดน่าจะยังคงส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกระยะ เพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และควบคุมการคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation Expectation) ของตลาดให้เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสมและไม่บั่นทอนเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ภายใต้สถานการณ์ที่เครื่องชี้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐฯเริ่มมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของจีดีพี เครื่องชี้การใช้จ่ายของผู้บริโภค อาทิ ยอดค้าปลีก และตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่การฟื้นตัวของเครื่องชี้เหล่านั้น ได้รับแรงหนุนที่สำคัญมาจากการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายอย่างมากและต่อเนื่องของทางการสหรัฐฯ
ส่วนภาวะตลาดแรงงานและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงอยู่ในภาวะอ่อนแอและยังต้องใช้เวลามากกว่านี้กว่าจะฟื้นตัวกลับมาอย่างเต็มที่ (เป็นที่คาดว่าอัตราการว่างงานสหรัฐฯอาจขยับเข้าสู่ระดับสูงสุดใกล้ 11% ภายในครึ่งแรกของปี 2553 เทียบกับที่อยู่ที่ 10% ในเดือนพฤศจิกายน 2552) ความยั่งยืนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจึงเป็นหลักฐานที่ต้องรอการยืนยันในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ กำลังมีแนวโน้มที่จะทยอยลดบทบาทลงในระยะถัดไป ขณะที่ฐานะดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะของสหรัฐฯก็อาจจะเป็นข้อจำกัดทางการคลังสำหรับการใช้มาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมในอนาคต
โดยการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษที่ระดับ 0.00-0.25% อย่างต่อเนื่อง น่าจะยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯให้ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งเฟดก็น่าจะยังพอมีความยืดหยุ่นให้สามารถดำเนินการได้ภายใต้แรงกดดันเงินเฟ้อโดยเฉพาะจากฝั่งอุปสงค์ที่ยังมีค่อนข้างจำกัด และหากจะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับต่ำเป็นพิเศษในปัจจุบันไปสู่ระดับที่ผ่อนคลายน้อยลง/เป็นปกติมากขึ้น (Neutralized) ก็น่าที่จะเกิดขึ้นเมื่อเฟดมีความมั่นใจมากพอต่อการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของเศรษฐกิจสหรัฐฯแล้วเท่านั้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 เป็นอย่างเร็ว
ทั้งนี้จากมุมมองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่ระดับต่ำต่อเนื่อง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่น่าจะเกิดขึ้นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปดังกล่าว ทำให้คาดว่า การลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯอาจยังมีแนวโน้มน่าดึงดูดน้อยลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ (ถึงแม้ว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอาจจะมีแนวโน้มขยับขึ้นในระยะข้างหน้าเมื่อมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของเฟดสิ้นสุดอายุลงก็ตาม)
เมื่อผนวกกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในยูโรโซนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะที่ใกล้เคียงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นในดูไบ คงจะส่งผลให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศยังมีแนวโน้มเคลื่อนเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยก็น่าจะได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เพื่อรักษาสมดุลเสถียรภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศและค่าเงินบาท ทางการและภาคธุรกิจเอกชนของไทยคงจะต้องเตรียมรับมือกับโจทย์ที่ท้าทายนี้นอกเหนือไปจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจในประเทศอย่างประเด็นการเมืองและความไม่ชัดเจนของการลงทุนในบางช่วง
แรงกดดันเงินเฟ้อยังไม่น่ากังวลมาก
ในมิติของความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อนั้น พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั้งที่วัดจากทางด้านผู้บริโภคและผู้ผลิตยังคงอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลจนเกินไปนัก โดยอาจมีแนวโน้มขยับขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานตามการปรับขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ยังมีค่อนข้างจำกัด
อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาการใช้จ่ายผู้บริโภคส่วนบุคคล (PCE Inflation) ในเดือนตุลาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 0.2% (Year-on-Year: YoY) หลังจากที่มีค่าติดลบในช่วง 5 เดือนก่อนหน้า ขณะที่ หากไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 1.4% (YoY) ขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 1.3% ในเดือนก่อนหน้า
ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI Inflation) ในเดือนตุลาคม มีค่าอยู่ในแดนลบที่ 0.2% (YoY) ซึ่งเป็นอัตราติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า อัตราเงินเฟ้ออาจมีระดับเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.1% ในปี 2553 เทียบกับที่อาจติดลบประมาณ 0.4% ในปี 25522 อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้ผลิตสำหรับสินค้าขั้นสุดท้าย (PPI Inflation for finished goods) ในเดือนตุลาคม 2552 ยังคงมีค่าติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 หรือนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 ที่ร้อยละ 1.9 (YoY) ขณะที่ หากไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 0.7% (YoY) เทียบกับที่อยู่ที่ 1.8% ในเดือนกันยายน
จากภาพการปรับตัวของเงินเฟ้อดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เฟดน่าจะยังพอมีความยืดหยุ่นที่จะให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยหากจะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับต่ำเป็นพิเศษในปัจจุบันไปสู่ระดับที่ผ่อนคลายน้อยลง/เป็นปกติมากขึ้น (Neutralized) ก็น่าที่จะเกิดขึ้นเมื่อเฟดมีความมั่นใจมากพอต่อการฟื้นตัวอย่างชัดเจน
โบรกเกอร์กองทุนมองเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์กองทุนรวมจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯและทั่วโลกส่วนใหญ่ดีดตัวขึ้นหลังจากมองว่าผลกระทบโดยตรงจากปัญหาหนี้ของ Dubai World ต่อตลาดเงินทั่วโลกมีอยู่จำกัด แต่มองว่าผลกระทบอาจยืดเยื้อและยังมีผลไม่ชัดเจนต่อสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้รวมทั้งยังอาจมีผลด้านจิตวิทยาต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในระยะต่อไปโดยนักวิเคราะห์บางรายคาดว่าเจ้าหนี้ของบริษัท Dubai World จะปฎิเสธข้อตกลงพักชำระหนี้ที่เสนอในการขอเลื่อนการชำระหนี้ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้การปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวล่าช้าออกไป
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในเชิงบวกที่ประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมามีตัวเลขลดการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ลดลง 11,000ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายนในสหรัฐฯ เทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ลดลง 130,000 ตำแหน่ง แต่ทางด้านรัฐบาลสหรัฐอเมริกายังมองว่าปัญหาการว่างงานยังเป็นปัจจัยหลัก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำจึงยังส่งผลต่อการคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำในระยะต่อไป ซึ่งเช่นเดียวกับทางสหภาพยุโรปที่ยังต้องการคงอัตราดอกเบี้ยที่1.0%ต่อไปถึงแม้ว่าจะมีการถอนสภาพคล่องออกจากระบบอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ภาคธนาคารหลายพันล้านยุโรมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา