บลจ.นครหลวงไทยยืนยัน เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในแบงก์แม่ส่งผลในเชิงบวกต่อธุรกิจของบริษัท พร้อมเดินหน้าทำงานอย่างมืออาชีพ และเต็มที่ เผยปีหน้าเน้นการตลาดและการขายหวังช่วยดันเอยูเอ็มให้เติบโตต่อเนื่อง ชี้ดัชนีหุ้นไทยปีหน้ายังมีโอกาสปรับขึ้นอีก 10-20% แย้มยังสนใจออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนไทย
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2553 บริษัทจะเน้นในเรื่องการตลาดและการขายมากขึ้นซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่เหมาะสมในการทำธุรกิจกองทุนควรจะอยู่ในระดับ 1.5 แสนล้านบาท ขึ้นไป ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในบมจ.ธนาคารนครหลวงไทยซึ่งเป็นแบงก์แม่ของบริษัทในปีหน้าโดยภาพรวมน่าจะส่งผลในเชิงบวกต่อธุรกิจบลจ.ของบริษัทเช่นกัน ไม่ว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่จะเป็นใครก็ตาม
ในส่วนของทีมงานบลจ.นครหลวงไทยเป็นมืออาชีพและพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ส่วนจะมีการควบรวมบลจ.หรือไม่ในอนาคตเป็นเรื่องของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่จะเข้ามาพิจารณา ซึ่งไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใดบริษัทและพนักงานของบริษัทก็พร้อมรับเพราะเราทำงานแบบมืออาชีพแต่ในปีหน้าจะเน้นในเรื่องรูปแบบการลงทุนให้มากขึ้น
“รูปแบบการลงทุนที่บริษัทเปิดตัวไปแล้วในช่วงนี้ได้แก่แคมเปญเงินออมกับการดูแลตัวเอง โดยจะมอบโปรแกรมตรวจสุขภาพให้กับลูกค้าที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของบริษัท สำหรับยอดลงทุนสะสมตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2552 – 29 มกราคม 2553 โดยจะได้รับบัตรตรวจสุขภาพตั้งแต่ 1,000 – 15,000 บาท และนักลงทุนยังสามารถเลือกตรวจโรคได้ตามที่ต้องการอีกด้วย ในอนาคตหากจะมีบลจ.อื่นทำตามก็ไม่กลัว เพราะการที่บริษัทเริ่มก่อนจะเป็นจุดแข็ง ทำให้นักลงทุนนึกถึงบริษัทก่อนบลจ.แห่งอื่นนั่นเอง ซี่งในปีหน้าบริษัทจะมีรูปแบบการลงทุนในลักษณะเช่นนี้ออกมาอีก”
นายธีรพันธุ์ ยังกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจในปี 2553 น่าจะออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ในภาพรวมของเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้นไม่มีปัญหาแต่ในระยะกลางถึงยาวถ้าการลงทุนไม่เกิดขึ้นประเทศไทยจะตามประเทศอื่นไม่ทันดังนั้นจุดสำคัญคือภาครัฐจะต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น การขนส่งระบบราง เป็นต้น เพื่อดึงให้การลงทุนภาคเอกชนเกิดขึ้นตามมาซึ่งจะช่วยให้การบริโภคในประเทศฟื้นกลับขึ้นมาด้วย
ซึ่งเรื่องการลงทุนภาคเอกชนนี้ยังต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด โดยตลาดหุ้นไทยในปี2553 ยังมีโอกาสในขาขึ้น (upside) ประมาณ 10-20% จากฐานระดับ 700-720 จุด ในขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยในปี 2553 ยังไม่น่าจะปรับตัวขึ้นมากเพราะภูมิภาคเอเชียยังเป็นเป้าหมายของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติอยู่นี่จะเป็นปัจจัยที่กดดันทิศทางดอกเบี้ยไม่ให้ปรับขึ้นสูงด้วย
“ปี2553 นี้ บริษัทมีนโยบายจะออกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้มาเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการแสวงหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากแบงก์ จากเศรษฐกิจโลกที่มีความชัดเจนว่าได้ถึงจุดต่ำสุดแล้วกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจะทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาลลดลงตัวเลขผลตอบแทนของหุ้นกู้ในปี 2553 อาจจะไม่สูงระดับ 6-7% เหมือนปีที่ผ่านมา แต่ในระดับ 4-5% ยังคงได้เห็นและมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเพราะภาพเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นจะทำให้นักลงทุนกล้ารับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ต่างจากในปี 2552 ที่แม้ผลตอบแทนหุ้นกู้จะสูง เครดิตดีแต่การขายก็ไม่ง่ายเพราะนักลงทุนกลัวนั่นเอง”
นายธีรพันธุ์ กล่าวเสริมว่า กองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยอยู่และบริษัทคงจะมีกองทุนในลักษณะนี้ออกมาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเกาหลีใต้จะปรับตัวลดลงจนทำให้ส่วนต่างของผลตอบแทนกับพันธบัตรรัฐบาลไทยต่างกันไม่ถึง 1.0% แล้ว แต่ก็ยังถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับนักลงทุนไทย นอกจากนี้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจซึ่งบริษัทจะพิจารณานำมาเสนอเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนไทยเช่นกัน
ด้านนายไตรพิชิต วัฒนวิจิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันผลตอบแทนของกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ลดลงค่อนข้างมาก หลังจากช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้เข้าไปซื้อขายเงินตราต่างประเทศแลกกับเงินบาทล่วงหน้า (สวอป) ส่งผลให้ต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเหรียญสหรัฐกับเงินบาทสูงขึ้นมาก ทำให้ผลตอบแทนจากค่าพรีเมียมอัตราแลกเปลี่ยนที่เคยเป็นบวกกลับข้างมาลดลงไป 0.3-0.4% จึงฉุดผลตอบแทนของกองทุนพันธบัตรเกาหลีลดลง จึงไม่น่าสนใจที่จะออกกองทุนเกาหลีอายุสั้นๆ
ปัจจุบันกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้อายุ 3 เดือนผลตอบแทนลดลงเหลือ 0.8% เมื่อหักค่าใช้จ่าย ขณะที่กองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้อยู่ที่ 1.2% หลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 0.9% ดังนั้นหากจะออกกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ในช่วงนี้จะต้องออกที่มีอายุยาวจึงจะน่าสนใจ ซึ่งบริษัทจะออกในสัปดาห์หน้าอายุ 22 เดือน คาดผลตอบแทนสุทธิประมาณ 2.6% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝาก 2 ปีอยู่ที่ 2.75% และหักภาษีแล้วจะอยู่ที่ 2.34%
อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ ธปท.ไม่เข้าไปซื้อขายในตลาดสวอป ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่อยากให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปและอีกส่วนเพื่อสกัดพวกเก็งกำไรค่าเงิน รวมทั้งอาจเห็นว่าเงินลงทุนของไทยไปอยู่ในกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้สูงถึง 5 แสนล้านบาท สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าอย่างเร็วที่สุดน่าจะขึ้นได้ในไตรมาส 2 และคาดว่าทั้งปีจะขึ้นได้ไม่เกิน 0.75%