บลจ.กสิกรไทย ชี้แนวโน้มกองสำรองเลี้ยงชีพยังแข่งดุ แต่อาจเห็นเรื่องดี หลังลูกค้าเริ่มเข้าใจเรื่องคุณภาพมากกว่าค่าธรรมเนียมราคาต่ำ ส่วนทิศทางดอกเบี้ย คาดครึ่งหลังปีหน้าปรับขึ้น ดันยิลด์กองทุนตลาดเงินเด้ง ส่วนหุ้นกู้เอกชนอาจเห็นน้อยลง เหตุต้นทุนปรับขึ้น
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการแข่งขันของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพปีหน้า คงจะเห็นการแข่งขันทางด้านค่าธรรมเนียม(ค่าฟี)อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาถึงแม้ผู้ประกอบการธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงจะมีการพูดคุยกัน แล้วแต่ก็มักจะมีรายใหม่เข้ามาอยู่ในธุรกิจและใช้การลดค่าธรรมเนียมเป็นการจูงใจลูกค้าอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการบางรายเริ่มเข้าใจแล้วว่า คุณภาพของการบริหารงานจะสำคัญกว่าค่าธรรมเนียม
"ตอนนี้ลูกค้าเริ่มเข้าใจแล้ว อย่างที่ผ่านมาที่เขามาให้เราบริหารให้ก็ไม่ได้มองเรื่องค่าฟี เขาบอกเลยว่าจะดูที่ผลงานและคุณภาพการบริหารมากกว่า ซึ่งเราจะเห็นแบบนี้เพิ่มขึ้น ส่วนการที่มี Employee Choice เชื่อว่าคงจะไม่ทำให้การแข่งขันด้านค่าฟีหายไป ถึงแม้จะมีตุ้นการบริหารต่างกันในแต่ละกองที่สมาชิกเลือก แต่ในโปรแกรมนี้จะมีผลดีกับสมาชิกมากกว่า"นายเกษตรกล่าว
ด้านนายประเสริฐ ขนบธรรมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้ผลตอบแทนของการลงทุนในตราสารหนี้ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก แต่ในปีหน้าคาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) น่าจะปรับขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า และทำให้ตราสารหนี้ระยะสั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้กองทุนตลาดเงินมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงินปีหน้าคงจะดีขึ้นแต่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากยังจะคงอิงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ซึ่งไม่น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วเกินไปนัก เพื่อต้องการพยุงเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่การลงทุนในช่องทางนี้ก็ยังน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพักเงินลงทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นหรือช่องทางอื่น
ขณะที่แนวโน้มการเปิดขายหุ้นกู้ภาคเอกชนปีหน้าบริษัทคาดว่า บริษัทขนาดใหญ่คงจะออกขายตราสารหนี้ชนิดนี้ไม่มากนัก เนื่องจากปีนี้ได้ทยอยออกมาค่อนข้างเยอะแล้ว โดยน่าจะเห็นได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าเท่านั้น
"ปีนี้บริษัทขนาดใหญ่ออกขายหุ้นกู้กันเยอะมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการมีประสบการณ์ของ 10 ปีที่แล้ว และเมื่อเห็นต้นทุนต่ำจึงรีบออกมาระดมทุนเอาไว้ก่อน ซึ่งบางแห่งเองยังไม่รู้หรือมีแผนงานด้วยซ้ำว่าจะนำเงินไป ทำอะไร แต่อยากจะล็อกต้นทุนเอาไว้ก่อน โดยในปีนี้บอนด์เอกชนส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงไม่เกิน 3 ปี และปีหน้าคงจะเป็นอายุประมาณนี้ โดยเท่าที่ทราบคงจะมีอยู่อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาทที่น่าจะออกมาในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า"นายปรเสริฐกล่าว
นอกจากนี้ นายประเสริฐ ยังกล่าวอีกว่า ใน่ส่วนของการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเก่าหลีอีกว่า เป็นไปได้เช่นกันที่จะเห็นโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของรัฐบาลเกาหลี แต่เชื่อว่าส่วนต่างของการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีในปีหน้าเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศคงไม่มากนัก อยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งนับว่าเป็นส่วนต่างที่นักลงทุนยังให้ความสนใจเข้าลงทุนอยู่ เนื่องจากมีความเคยชินกับการลงทุนรูปแบบนี้แล้ว
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการแข่งขันของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพปีหน้า คงจะเห็นการแข่งขันทางด้านค่าธรรมเนียม(ค่าฟี)อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาถึงแม้ผู้ประกอบการธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงจะมีการพูดคุยกัน แล้วแต่ก็มักจะมีรายใหม่เข้ามาอยู่ในธุรกิจและใช้การลดค่าธรรมเนียมเป็นการจูงใจลูกค้าอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการบางรายเริ่มเข้าใจแล้วว่า คุณภาพของการบริหารงานจะสำคัญกว่าค่าธรรมเนียม
"ตอนนี้ลูกค้าเริ่มเข้าใจแล้ว อย่างที่ผ่านมาที่เขามาให้เราบริหารให้ก็ไม่ได้มองเรื่องค่าฟี เขาบอกเลยว่าจะดูที่ผลงานและคุณภาพการบริหารมากกว่า ซึ่งเราจะเห็นแบบนี้เพิ่มขึ้น ส่วนการที่มี Employee Choice เชื่อว่าคงจะไม่ทำให้การแข่งขันด้านค่าฟีหายไป ถึงแม้จะมีตุ้นการบริหารต่างกันในแต่ละกองที่สมาชิกเลือก แต่ในโปรแกรมนี้จะมีผลดีกับสมาชิกมากกว่า"นายเกษตรกล่าว
ด้านนายประเสริฐ ขนบธรรมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้ผลตอบแทนของการลงทุนในตราสารหนี้ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก แต่ในปีหน้าคาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) น่าจะปรับขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า และทำให้ตราสารหนี้ระยะสั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้กองทุนตลาดเงินมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงินปีหน้าคงจะดีขึ้นแต่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากยังจะคงอิงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ซึ่งไม่น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วเกินไปนัก เพื่อต้องการพยุงเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่การลงทุนในช่องทางนี้ก็ยังน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพักเงินลงทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นหรือช่องทางอื่น
ขณะที่แนวโน้มการเปิดขายหุ้นกู้ภาคเอกชนปีหน้าบริษัทคาดว่า บริษัทขนาดใหญ่คงจะออกขายตราสารหนี้ชนิดนี้ไม่มากนัก เนื่องจากปีนี้ได้ทยอยออกมาค่อนข้างเยอะแล้ว โดยน่าจะเห็นได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าเท่านั้น
"ปีนี้บริษัทขนาดใหญ่ออกขายหุ้นกู้กันเยอะมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการมีประสบการณ์ของ 10 ปีที่แล้ว และเมื่อเห็นต้นทุนต่ำจึงรีบออกมาระดมทุนเอาไว้ก่อน ซึ่งบางแห่งเองยังไม่รู้หรือมีแผนงานด้วยซ้ำว่าจะนำเงินไป ทำอะไร แต่อยากจะล็อกต้นทุนเอาไว้ก่อน โดยในปีนี้บอนด์เอกชนส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงไม่เกิน 3 ปี และปีหน้าคงจะเป็นอายุประมาณนี้ โดยเท่าที่ทราบคงจะมีอยู่อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาทที่น่าจะออกมาในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า"นายปรเสริฐกล่าว
นอกจากนี้ นายประเสริฐ ยังกล่าวอีกว่า ใน่ส่วนของการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเก่าหลีอีกว่า เป็นไปได้เช่นกันที่จะเห็นโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของรัฐบาลเกาหลี แต่เชื่อว่าส่วนต่างของการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีในปีหน้าเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศคงไม่มากนัก อยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งนับว่าเป็นส่วนต่างที่นักลงทุนยังให้ความสนใจเข้าลงทุนอยู่ เนื่องจากมีความเคยชินกับการลงทุนรูปแบบนี้แล้ว