บลจ.กสิกรไทยโชว์ผลงานปี 52 AUMโตกว่าแสนล้านบาท ลั่นปีหน้าขยายตัวอีกได้ถึง 20% และจะสูงกว่าการเติบโตของภาพรวมธุรกิจกองทุน ระบุปีหน้าการแข่งขันยังสูง ชูการให้บริการและออกผลิตภัณฑ์มัดใจลูกค้าเป็นหลัก ด้าน"พัชร"ชี้ ปีหน้าอาจเห็นกองหุ้นแบบ Passive ตอบสนองความต้องการลูกค้า พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ Customer Centric ต่อเนื่อง
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทปีนี้ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ส่งผลให้ปัจจุบันสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) ณ สิ้นเดือนตุลาคม เติบโตขึ้นกว่า 36% โดยมีมูลค่าเอยูเอ็มภายใต้การจัดการทั้งสิ้น 479,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึง 129,227 ล้านบาท และเป็นอัตราการเติบโตตัวที่มากกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนที่เติบโตเพียง 15% เท่านั้น
ทั้งนี้ หากแยกเป็นผลการดำเนินงานรายธุรกิจแล้ว ธุรกิจกองทุนรวมของบริษัทนับว่ามีการขยายตัวมากที่สุด โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม มีอัตราการเติบโตถึง 40% หรือคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 362,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึง 104,436.17 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล นายรพีกล่าวว่า ยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันขนาดใหญ่ให้บริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงถึง 47,938 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตถึง 20% จากปี 2551 และในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็โตถึง 31 % ทำให้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 69,533 ล้านบาท โดยมีองค์กรชั้นนำกว่า 130 แห่งที่แต่งตั้งบริษัทให้บริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
นายรพี กล่าวต่อว่า สำหรับการแข่งขันของธุรกิจกองทุนรวมในอนาคตเชื่อว่า จะอยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งบริษัทมองว่านอกจาการแข่งขันด้านผลิตภัณฑ์ที่ต้องตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว หลังจากนี้การให้ข้อมูลด้านการลงทุนอย่างถูกต้องจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการบริการลูกค้า
"มันเป็นการให้บริการด้านการเงิน ซึ่งเมื่อลงทุนแล้วลูกค้าต้องการที่จะรับรู้ข้อมูลตรงนั้นว่า ลงทุนอะไรและมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเราต้องสื่อสารให้ครบตั้งแต่ตอนตน ว่าสาขาจะทำอย่างไรเมื่อรับข้อมูลจากเราแล้วไปบอกต่อให้ได้ครบถ้วนที่สุด โดยหากเปรียบแล้วก็เหมือนซื้อรถไม่ว่าจะเป็นโตโยต้าหรือฮอนด้า คนซื้อคงไม่มองรายละเอียดหมดทุกอย่าง แต่จะมองเรื่องบริการหลังการขายด้วย ส่วนการลงทุนมันก็มีเกณฑ์วัดอยู่แล้วมันไม่หนีกันมาก จะหนีกันก็แค่บริการด้านข้อมูล"นายรพีกล่าว
ด้านนายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีหน้า(2553)นั้น บริษัทน่าจะสามารถสร้างการเติบโตของเอยูเอ็มได้ในระดับ 20% หรืออย่างน้อยจะต้องโตกว่าการเติบโตของภายรวมธุรกิจกองทุน ซึ่งหากกองทุนพันธบัตรเกาหลีครบกำหนดอายุโครงการก็จำเป็นต้องหากองทุนพันธบัตรอื่นที่มีความใกล้เคียง หรือเป็นกองประเภทเดียวกันมาเสนอขายใหม่(โลวโอเวอร์)อีกครั้ง เพื่อชดเชยเม็ดเงินที่จะหายไป
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จัดตั้งกองทุนหุ้นประเภทพาสซีพฟันด์ เพื่อรองรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนไปแนวทางเดียวกันดัชนีต่างๆ โดยคาดว่านอกจากการนำเสนอกองทุนให้ตรงความต้องการแล้วกองทุนประเภท K-TREASURY และ K-MONEY ก็น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน
"ผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่จะนำเสนอในปี 2553 จะครอบคลุมทั้งกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ กลุ่มกองทุนหุ้น และกองทุนต่างประเทศ ส่วนในธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล จะเน้นการให้ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มมากที่สุด สำหรับธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะมุ่งเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนและวางแผนการเงินกับสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในแต่ละบริษัท พร้อมทั้งนำเสนอบริการ Employee’s Choice เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า"นายพัชรกล่าว
ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินงานนั้น นายพัชร กล่าวว่า จะยังคงนำกลยุทธ์ Customer Centric มาใช้ในการบริหารอย่างต่อเนื่อง โดยจะศึกษาความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกยิ่งขึ้น เพื่อนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการให้เป็นที่พึงพอใจสูงสุด ทั้งในธุรกิจกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยยังคงเน้นการพัฒนาคุณลักษณะที่มีคุณค่าต่อลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นด้านผลการดำเนินงาน ที่จะปรับผังงานและความรับผิดชอบของผู้จัดการกองทุนเพื่อให้สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ ส่วนการส่งเสริมการขายก็จะมีอย่างต่อเนื่องทั้งปี และสร้าง Loyalty Program เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในการลงทุนกับบลจ.กสิกรไทย มายาวนาน รวมไปถึงการปรับคุณลักษณะของกองทุนให้ดีขึ้นและเร็วขึ้น พร้อมอำนวยความสะดวกด้วยการเพิ่มช่องทางซื้อขายกองทุนที่เข้าถึงง่ายที่สุด และพัฒนาการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทปีนี้ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ส่งผลให้ปัจจุบันสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) ณ สิ้นเดือนตุลาคม เติบโตขึ้นกว่า 36% โดยมีมูลค่าเอยูเอ็มภายใต้การจัดการทั้งสิ้น 479,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึง 129,227 ล้านบาท และเป็นอัตราการเติบโตตัวที่มากกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนที่เติบโตเพียง 15% เท่านั้น
ทั้งนี้ หากแยกเป็นผลการดำเนินงานรายธุรกิจแล้ว ธุรกิจกองทุนรวมของบริษัทนับว่ามีการขยายตัวมากที่สุด โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม มีอัตราการเติบโตถึง 40% หรือคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 362,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึง 104,436.17 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล นายรพีกล่าวว่า ยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันขนาดใหญ่ให้บริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงถึง 47,938 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตถึง 20% จากปี 2551 และในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็โตถึง 31 % ทำให้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 69,533 ล้านบาท โดยมีองค์กรชั้นนำกว่า 130 แห่งที่แต่งตั้งบริษัทให้บริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
นายรพี กล่าวต่อว่า สำหรับการแข่งขันของธุรกิจกองทุนรวมในอนาคตเชื่อว่า จะอยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งบริษัทมองว่านอกจาการแข่งขันด้านผลิตภัณฑ์ที่ต้องตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว หลังจากนี้การให้ข้อมูลด้านการลงทุนอย่างถูกต้องจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการบริการลูกค้า
"มันเป็นการให้บริการด้านการเงิน ซึ่งเมื่อลงทุนแล้วลูกค้าต้องการที่จะรับรู้ข้อมูลตรงนั้นว่า ลงทุนอะไรและมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเราต้องสื่อสารให้ครบตั้งแต่ตอนตน ว่าสาขาจะทำอย่างไรเมื่อรับข้อมูลจากเราแล้วไปบอกต่อให้ได้ครบถ้วนที่สุด โดยหากเปรียบแล้วก็เหมือนซื้อรถไม่ว่าจะเป็นโตโยต้าหรือฮอนด้า คนซื้อคงไม่มองรายละเอียดหมดทุกอย่าง แต่จะมองเรื่องบริการหลังการขายด้วย ส่วนการลงทุนมันก็มีเกณฑ์วัดอยู่แล้วมันไม่หนีกันมาก จะหนีกันก็แค่บริการด้านข้อมูล"นายรพีกล่าว
ด้านนายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีหน้า(2553)นั้น บริษัทน่าจะสามารถสร้างการเติบโตของเอยูเอ็มได้ในระดับ 20% หรืออย่างน้อยจะต้องโตกว่าการเติบโตของภายรวมธุรกิจกองทุน ซึ่งหากกองทุนพันธบัตรเกาหลีครบกำหนดอายุโครงการก็จำเป็นต้องหากองทุนพันธบัตรอื่นที่มีความใกล้เคียง หรือเป็นกองประเภทเดียวกันมาเสนอขายใหม่(โลวโอเวอร์)อีกครั้ง เพื่อชดเชยเม็ดเงินที่จะหายไป
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จัดตั้งกองทุนหุ้นประเภทพาสซีพฟันด์ เพื่อรองรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนไปแนวทางเดียวกันดัชนีต่างๆ โดยคาดว่านอกจากการนำเสนอกองทุนให้ตรงความต้องการแล้วกองทุนประเภท K-TREASURY และ K-MONEY ก็น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน
"ผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่จะนำเสนอในปี 2553 จะครอบคลุมทั้งกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ กลุ่มกองทุนหุ้น และกองทุนต่างประเทศ ส่วนในธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล จะเน้นการให้ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มมากที่สุด สำหรับธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะมุ่งเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนและวางแผนการเงินกับสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในแต่ละบริษัท พร้อมทั้งนำเสนอบริการ Employee’s Choice เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า"นายพัชรกล่าว
ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินงานนั้น นายพัชร กล่าวว่า จะยังคงนำกลยุทธ์ Customer Centric มาใช้ในการบริหารอย่างต่อเนื่อง โดยจะศึกษาความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกยิ่งขึ้น เพื่อนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการให้เป็นที่พึงพอใจสูงสุด ทั้งในธุรกิจกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยยังคงเน้นการพัฒนาคุณลักษณะที่มีคุณค่าต่อลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นด้านผลการดำเนินงาน ที่จะปรับผังงานและความรับผิดชอบของผู้จัดการกองทุนเพื่อให้สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ ส่วนการส่งเสริมการขายก็จะมีอย่างต่อเนื่องทั้งปี และสร้าง Loyalty Program เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในการลงทุนกับบลจ.กสิกรไทย มายาวนาน รวมไปถึงการปรับคุณลักษณะของกองทุนให้ดีขึ้นและเร็วขึ้น พร้อมอำนวยความสะดวกด้วยการเพิ่มช่องทางซื้อขายกองทุนที่เข้าถึงง่ายที่สุด และพัฒนาการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท
