บลจ.กสิกรไทยลั่นรักษาฐานแชมป์อุตกองทุนต่อ หลังครึ่งปีแรกAUM ขยายตัวกว่า 32% มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท เตรียมเดินหน้าออกพันธบัตรเกาหลีต่อเนื่อง เหตุดีมาน์นักลงทุนยังล้น พร้อมเล็งส่งกองทุนน้ำมัน หุ้นกู้เอกชน เซคเตอร์ฟันด์เพิ่มทางเลือกนักลงทุน "รพี"ชูกลยุทธ์เน้นประสานงานแบงก์แม่ และสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนตามความเสี่ยงให้ได้มากที่สุดเป็นหลัก
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด (Kasset) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จจนสามารถครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมกองทุน โดยมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) ล่าสุดอยู่ที่ 4.56 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ที่ 3.5 แสนล้านบาทเป็นจำนวนกว่า 32% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมกองทุนที่มีการเติบโตเพียง 11%
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตของบริษัทเป็นไปอย่างก้าวกระโดด และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกองทุนรวมเกือบทุกประเภท นอกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่านั้นที่มีขนาดสินทรัพย์อยู่ในอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งหลังจากนี้เราจะพยายามรักษาตำแหน่งและฐานลูกค้าให้ได้ในระดับนี้ต่อไป
"สาเหตุที่เราโตส่วนใหญ่มาจากกอง K-Treasury และ K-Money เป็นหลัก แต่แน่นอนว่ากองพันธบัตรเกาหลีก็มีส่วน อย่างไรก็ตามมีกองทุนพันธบัตรเกาหลีครบไปเหมือนกันจึงไม่ทำให้เป็นส่วนสำคัญนัก โดยช่วงต้นปีสภาพคล่องบางส่วนได้ไหลเข้าอุตสาหกรรมกองทุนรวมในส่วนเซพวิ่งบอนด์เยอะมาก แต่เมื่อพันธบัตรไทยเข้มแข็งออกมาก็มีบางส่วนไหลออกไปเช่นกัน"นายรพีกล่าว
นายรพี กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการตลาดโดยรวมของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเน้นบทบาทการเป็นส่วนสำคัญของการให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรภายใต้เครือธนาคารกสิกรไทยเป็นหลัก โดยจะให้บริการทั้งในด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุน แบบ Saveing plane และการเป็นผู้นำในการเสนอผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่หลากหลาย อย่างกองทุนรวมให้แก่ผู้ฝากเงินที่เป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย
ส่วนแผนสุดท้ายจะเป็นการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เพื่อให้เกิดการสนับสนุนการขายและการให้บริการในทุกช่องทาง
"ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเรามีการติดต่อโดยตรงกับลูกค้าไม่มากนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการขายผ่านสาขา และเราก็จะเป็นเหมือนผู้ผลิตสินค้า โดยเราจะมีหน้าที่ออกสินค้าและประสานงานให้ทำอย่างไรเจ้าหน้าที่สาขาถึงจะให้คำแนะนำกับลูกค้าได้อย่างถูกต้องที่สุด"นายรพีกล่าว
นายรพี กล่าวถึงท้ายว่า นอกจากแผนงานในปีนี้แล้ว บริษัทจะพยายามรักษาขนาดเอยูเอ็มให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี โดยเป้าหลักต่อไปจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและการให้บริการแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อให้นักลงทุนได้รับการบริการที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น 2.การสร้างผลการดำเนินงานที่ดี เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีในทุกการลงทุนภายใต้ความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ลงทุนแต่ละระดับ (Asset class)และสุดท้ายคือการออกผลิตภัณฑ์กองทุนให้หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ด้าน นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แผนการออกกองทุนของบริษัทหลังจากนี้คงจะให้ความหลากหลาย ซึ่งในส่วนกองทุนพันธบัตรเกาหลีคงจะยังมีการเปิดขายต่อไปอีก เนื่องจากความต้องการของนักลงทุนในกองทุนประเภทนี้ยังมีอยู่มาก
"ครึ่งหลังเราคงต้องดูอะไรที่สนองความต้องการของลูกค้า โดยกองทุนพันธบัตรเกาหลีผลตอบแทนยังดีอยู่ 6 เดือน ได้ 2.5% 2 ปีได้ 3.5% เขาก็ยังลงทุน แต่ถ้าแนวโน้มมันลดลงมาก เราก็ต้องพยามหาอะไรมาให้นักลงทุนเป็นทางเลือกต่อไป"นายพัชรกล่าว
ทั้งนี้ นอกจากกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแล้ว บริษัทยังให้ความสนใจออกกองทุนหุ้นกู้ภายในประเทศด้วยเช่นกัน และคาดว่าจะสามารถทำการเสนอขายให้กับนักลงทุนในช่วงปลายไตรมาส 3 ของปีนี้ เนื่องจากจำเป็นที่จะต้องพิจารณาหาหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณสมบัติตามที่บริษัทต้องการเสียก่อน
นายพัชร กล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนตราสารหนี้แล้ว บริษัทมีความคิดที่จะเปิดขายกองทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนน้ำมัน รวมถึงเซคเตอร์ฟันด์ โดยกองทุนที่น่าจะทำได้เร็วที่สุดคงจะเป็นกองทุนน้ำมัน ที่จะทำการเปิดขายเป็นกองทุนถัดไป
"ตอนนี้เราอยากออกกองหุ้นจีนที่เรายังไม่มี และกองเซคเตอร์ฟันด์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน แต่ก็ยอมรับว่าค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจกับนักลงทุนต่อไป"นายพัชรกล่าว
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด (Kasset) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จจนสามารถครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมกองทุน โดยมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) ล่าสุดอยู่ที่ 4.56 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ที่ 3.5 แสนล้านบาทเป็นจำนวนกว่า 32% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมกองทุนที่มีการเติบโตเพียง 11%
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตของบริษัทเป็นไปอย่างก้าวกระโดด และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกองทุนรวมเกือบทุกประเภท นอกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่านั้นที่มีขนาดสินทรัพย์อยู่ในอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งหลังจากนี้เราจะพยายามรักษาตำแหน่งและฐานลูกค้าให้ได้ในระดับนี้ต่อไป
"สาเหตุที่เราโตส่วนใหญ่มาจากกอง K-Treasury และ K-Money เป็นหลัก แต่แน่นอนว่ากองพันธบัตรเกาหลีก็มีส่วน อย่างไรก็ตามมีกองทุนพันธบัตรเกาหลีครบไปเหมือนกันจึงไม่ทำให้เป็นส่วนสำคัญนัก โดยช่วงต้นปีสภาพคล่องบางส่วนได้ไหลเข้าอุตสาหกรรมกองทุนรวมในส่วนเซพวิ่งบอนด์เยอะมาก แต่เมื่อพันธบัตรไทยเข้มแข็งออกมาก็มีบางส่วนไหลออกไปเช่นกัน"นายรพีกล่าว
นายรพี กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการตลาดโดยรวมของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเน้นบทบาทการเป็นส่วนสำคัญของการให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรภายใต้เครือธนาคารกสิกรไทยเป็นหลัก โดยจะให้บริการทั้งในด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุน แบบ Saveing plane และการเป็นผู้นำในการเสนอผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่หลากหลาย อย่างกองทุนรวมให้แก่ผู้ฝากเงินที่เป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย
ส่วนแผนสุดท้ายจะเป็นการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เพื่อให้เกิดการสนับสนุนการขายและการให้บริการในทุกช่องทาง
"ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเรามีการติดต่อโดยตรงกับลูกค้าไม่มากนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการขายผ่านสาขา และเราก็จะเป็นเหมือนผู้ผลิตสินค้า โดยเราจะมีหน้าที่ออกสินค้าและประสานงานให้ทำอย่างไรเจ้าหน้าที่สาขาถึงจะให้คำแนะนำกับลูกค้าได้อย่างถูกต้องที่สุด"นายรพีกล่าว
นายรพี กล่าวถึงท้ายว่า นอกจากแผนงานในปีนี้แล้ว บริษัทจะพยายามรักษาขนาดเอยูเอ็มให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี โดยเป้าหลักต่อไปจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและการให้บริการแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อให้นักลงทุนได้รับการบริการที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น 2.การสร้างผลการดำเนินงานที่ดี เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีในทุกการลงทุนภายใต้ความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ลงทุนแต่ละระดับ (Asset class)และสุดท้ายคือการออกผลิตภัณฑ์กองทุนให้หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ด้าน นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แผนการออกกองทุนของบริษัทหลังจากนี้คงจะให้ความหลากหลาย ซึ่งในส่วนกองทุนพันธบัตรเกาหลีคงจะยังมีการเปิดขายต่อไปอีก เนื่องจากความต้องการของนักลงทุนในกองทุนประเภทนี้ยังมีอยู่มาก
"ครึ่งหลังเราคงต้องดูอะไรที่สนองความต้องการของลูกค้า โดยกองทุนพันธบัตรเกาหลีผลตอบแทนยังดีอยู่ 6 เดือน ได้ 2.5% 2 ปีได้ 3.5% เขาก็ยังลงทุน แต่ถ้าแนวโน้มมันลดลงมาก เราก็ต้องพยามหาอะไรมาให้นักลงทุนเป็นทางเลือกต่อไป"นายพัชรกล่าว
ทั้งนี้ นอกจากกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแล้ว บริษัทยังให้ความสนใจออกกองทุนหุ้นกู้ภายในประเทศด้วยเช่นกัน และคาดว่าจะสามารถทำการเสนอขายให้กับนักลงทุนในช่วงปลายไตรมาส 3 ของปีนี้ เนื่องจากจำเป็นที่จะต้องพิจารณาหาหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณสมบัติตามที่บริษัทต้องการเสียก่อน
นายพัชร กล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนตราสารหนี้แล้ว บริษัทมีความคิดที่จะเปิดขายกองทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนน้ำมัน รวมถึงเซคเตอร์ฟันด์ โดยกองทุนที่น่าจะทำได้เร็วที่สุดคงจะเป็นกองทุนน้ำมัน ที่จะทำการเปิดขายเป็นกองทุนถัดไป
"ตอนนี้เราอยากออกกองหุ้นจีนที่เรายังไม่มี และกองเซคเตอร์ฟันด์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน แต่ก็ยอมรับว่าค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจกับนักลงทุนต่อไป"นายพัชรกล่าว