บลจ.ชี้ สภาพคล่องในระบบกระจาย พันธบัตรไทยเข็มเเข็ง-เงินฝาก เบรกเงินไหลเข้าอุตสาหกรรมกองทุนน้อยลง คาดกองทุนเตรียมปรับกลยุทธ์ อัดโปรโมชั่นกองทุนประหยัดภาษี "LTF-RMF" ก่อนสิ้นปี หวังดันเอยูเอ็มโตเพิ่ม ด้านนักวิเคราะห์กองทุนรวม มอง SET น่าจะอยู่ที่ 650-700 จุดภายในสิ้นปีนี้
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าเงินลงทุนที่เข้ามาในอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วงครึ่งปีหลังนั้นเเตกต่างจากครึ่งปีเเรกค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาพคล่องหรือเม็ดเงินที่อยู่ในตลาดกระจายไปตามพันธบัตรรัฐบาลหรือ พันธบัตรไทยเข็มเเข็ง เเละพันธบัตรเกาหลีใต้ เป็นส่วนใหญ่ ประกับกอบธนาคารมีการเเข็งขันเเละมีโปรโมชั่นดึงเงินฝาก ส่งผลให้เม็ดเงินดังกล่าวไหลเข้ามาในอุตสาหกรรมกองทุนรวมน้อยลง ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือการเเข่งขันดึงเม็ดเงินของนักลงทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษีทั้ง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (LTF) เเละกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (RMF) จึงค่อนข้างดุเดือด
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุน LTF เเละ RMF ของนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมาลงทุนในเดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคมของทุกสิ้นปี ซึ่งการลงทุนในรูปเเบบดังกล่าวจะค่อนข้างมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนเเบบถัวเฉลี่ย หรือ Dollar Cost Average โดยการลงทุนเเบบดังกลาวเป็นเครื่องมือช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงจากการลงทุนไม่ถูกจังหวะได้
ขณะที่นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า บรรยากาศตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เรามองว่าจะมีความผันผวนอยู่เป็นระยะ ซึ่งถ้าดัชนีมีโอกาสปรับตัวต่อก็จะขึ้นอย่างช้าลง เเต่ในทางกลับกันหากผันผวนลงก็ไม่น่าจะปรับลงต่ำไปกว่านี้ สำหรับกองทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้นอกจากกองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตลาดเงิน เเละกองทุนรวมตราสารทุน ยังมีกองทุนที่น่าสนใจเเละเป์นทางเลือกให้กับนักลงทุนอีกหนึ่งทางคือ กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากเรามองว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีความเเข่งเกร่งทางเศรษฐกิจ เเละมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง
ทางด้านนางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 650-700 จุด ซึ่งอาจจะมีการปรับฐานบ้างเป็นระยะ ทั้งนี้กองทุนตราสารทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ทำเฟอร์ฟอร์มได้ค่อนมาก ทำกำไรได้ต่อเนื่อง ดัชนีปรับตัวขึ้นก็จะทำให้ราคาปรับขึ้นสูง ทั้งนี้หากดัชนีอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง เทรนด์การลงทุนส่วนใหญ่ก็คงอยู่ที่ บิ๊กเเคป มีเดียมเเคป เเละสมอลแคป ถึงเเม้ว่าปรับตัวของสมอลเเคปจะตามหลังหุ้นในกลุ่มบิ๊ก เเต่การเติบโตค่อนข้างมีการเหวียงเเรงมากกว่า อย่างไรก็ตามการเลือกกลุ่มหุ้นที่มีการเติบโตสูงเเละมีการปรับขึ้นตามเศรษฐกิจที่น่าลงทุนได้เเก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มสถาบันการเงิน เเละกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
สำหรับการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ทั้งทองคำเเละน้ำมัน กำลังอยู่ในช่วงราคาขาลง ซึ่งราคาน้ำมันที่น่าลงทุนเเละปลอดภัยอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลงไปน่าจะทำให้เกิดกำไร ในส่วนของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันหรือโอเปกก็มีมติที่จะไม่ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ถึงเเม้ว่าจะมีความตึงเครียดมากขึ้นจากกรณีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและค่าดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ส่วนการลงทุนในทองคำก็ไปเเข่งกับ เงินดอลลาร์ ถ้าเงินดอลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงก็จะทำให้ทองคำได้เปรียบ ในส่วนเรื่องค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเดาทางได้อยาก เนื่องจากท่าทีของธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) อาจมีเเนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอาจส่งผลให้ราคาทองคำผันผวนมากขึ้น
"การปรับพอร์ตการลงทุนช่วงไตรมาสที่เหลือนี้ อยากให้นักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 30% กองทุนตราสารหนี้ 50% เเละกองทุนมันนี่มาร์เก็ต 20% โดยสัดส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงนั้นอยากให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้น 10% น้ำมัน 5% เเละทองคำ 10-15%" นางสาวศุภมาส กล่าว