บลจ.ทิสโก้ชี้หุ้นกู้เอกชนอายุ 2-3 ปียังน่าลงทุน เหตุให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล และเป็นความเสี่ยงที่รับได้ ส่วนภาวการณ์ลงทุนตราสารหนี้ไตรมาส 3 พบพันธบัตรระยะสั้นผลตอบแทนยังแป๊กต่อเนื่อง
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ภาวะการซื้อขายของตลาดตราสารหนี้ไทยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยแบ่งเป็นปัจจัยภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง และการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ(US Treasury Yield) รวมถึงเม็ดเงินที่ไหลออกไปสู่ตลาดทุนที่ทำสถิติใหม่ในรอบปีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การปรับตัวของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่สูงขึ้นเกือบทั้งเส้นก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 2 ปี และ 3ปี มีการปรับตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดึงดูดใจกว่าพันธบัตรระยะสั้น ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่าพันธบัตรระยะกลางและยาว
ทั้งนี้ การที่ผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีและ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อสิ้นไตรมาส 2 แสดงให้เห็นถึงมุมมองนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลในอนาคต
โดย บลจ.ทิสโก้ สรุปว่า การเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอายุประมาณ 2-3 ปีที่มีความมั่นคง ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการปรับตัวขึ้นนของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลลบต่อผลตอบแทนแต่เนื่องจาก corporate spread หรือส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนที่คิดตามอายุเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงบนพื้นฐานของผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับสูงจะช่วยเป็นกันชนให้กับตราสารหนี้ภาคเอกชน ทำให้ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างน้อยและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงน่าสนใจมากกกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอย่างเดียว
อนึ่ง บลจ.ทิสโก้ เป็นอีกบลจ.หนึ่งที่ทำการเปิดขายกองทุนหุ้นกู้เอกชนมากที่สุด โดยปัจจุบันทำการเปิดขายไปแล้วจำนวน 12 กองทุน และทำการปิดกองรับซื้อคืนหน่วยลงทุนไปแล้ว 3 กอง โดย“กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11และ 12” จะมีนโยบายเหมือนกองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส อื่นๆ แต่มีเงื่อนไขพิเศษให้ผู้ถือหน่วยสามารถเลิกกองทุนและรับเงินต้นคืนพร้อมผลตอบแทนได้ก่อนครบอายุโครงการ หากหน่วยลงทุน (NAV) มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.42 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 4% ณ วันทำการใด ภายในระยะเวลา 1 ปี
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ภาวะการซื้อขายของตลาดตราสารหนี้ไทยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยแบ่งเป็นปัจจัยภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง และการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ(US Treasury Yield) รวมถึงเม็ดเงินที่ไหลออกไปสู่ตลาดทุนที่ทำสถิติใหม่ในรอบปีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การปรับตัวของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่สูงขึ้นเกือบทั้งเส้นก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 2 ปี และ 3ปี มีการปรับตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดึงดูดใจกว่าพันธบัตรระยะสั้น ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่าพันธบัตรระยะกลางและยาว
ทั้งนี้ การที่ผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีและ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อสิ้นไตรมาส 2 แสดงให้เห็นถึงมุมมองนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลในอนาคต
โดย บลจ.ทิสโก้ สรุปว่า การเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอายุประมาณ 2-3 ปีที่มีความมั่นคง ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการปรับตัวขึ้นนของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลลบต่อผลตอบแทนแต่เนื่องจาก corporate spread หรือส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนที่คิดตามอายุเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงบนพื้นฐานของผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับสูงจะช่วยเป็นกันชนให้กับตราสารหนี้ภาคเอกชน ทำให้ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างน้อยและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงน่าสนใจมากกกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอย่างเดียว
อนึ่ง บลจ.ทิสโก้ เป็นอีกบลจ.หนึ่งที่ทำการเปิดขายกองทุนหุ้นกู้เอกชนมากที่สุด โดยปัจจุบันทำการเปิดขายไปแล้วจำนวน 12 กองทุน และทำการปิดกองรับซื้อคืนหน่วยลงทุนไปแล้ว 3 กอง โดย“กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11และ 12” จะมีนโยบายเหมือนกองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส อื่นๆ แต่มีเงื่อนไขพิเศษให้ผู้ถือหน่วยสามารถเลิกกองทุนและรับเงินต้นคืนพร้อมผลตอบแทนได้ก่อนครบอายุโครงการ หากหน่วยลงทุน (NAV) มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.42 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 4% ณ วันทำการใด ภายในระยะเวลา 1 ปี
