คอลัมน์ตลาดทุนไทยในสายตาต่างชาติ
โดยบริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ตลาดการลงทุนค่อนข้างผันผวนเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งตัวผมเอง ก็รับทราบและเฝ้ามองมาโดยตลอด แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มักจะสอดคล้องกับทฤษฏีทางด้านกราฟ (การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค) ที่ช่วยยืนยันว่า กราฟสามารถพยาการณ์แนวโน้ม และการเคลื่อนไหวของตลาดได้จริง จนทำให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างทยอยเข้ามากันในช่วงที่กราฟกำลังปรับตัวขึ้นไปเป็น คลื่น 5 (คลื่นขาขึ้น สุดท้าย ตามทฤษฏี Elliott Wave) จนทำให้เกิดข่าวสารต่างๆ มากมาย เพื่อเขย่าความรู้สึก ตลอดจนความมั่นใจของนักลงทุนในช่วงนี้ เพื่อสอดคล้องกับคำว่ายอดดอย (ฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง แต่ถ้าใครอยู่ในตลาดมานาน คงจะทราบว่าสิ่งที่ผมกำลังจะบอกนั้น คือ อะไร)
เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ลงทุนอยู่ หรือ คนที่เป็นลูกศิษย์ ลูกหา ที่ยังติดต่อกันอยู่นั้น ส่วนใหญ่ช่วงหลังมานี้มักจะเปรยๆ ให้ฟังอยู่เสมอว่า เมื่อไหร่จะถึงยอดดอยสักที อีกนานไหม ถึงหรือยัง ที่ถามเช่นนี้กันเยอะ เพราะเขาเหล่านั้นเรียนรู้จากผมว่า ช่วงหุ้นตก เป็นช่วงที่ทำกำไรใน สัญญา Short ของ SET50 Index Futures ได้รวดเร็วมากที่สุด หากต้องการรู้ว่ามากแค่ไหน ให้ลองจินตนาการและนึกภาพประกอบว่า หลายคน สามารถทำเงินหลักล้านได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ เท่านั้น (ในขณะที่บางคน ก็เสียหลายล้าน เช่นกัน)
เรามีสิทธิที่จะเลือกว่า เมื่อถึงเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว เราจะเลือกยืนอยู่ข้างไหน ระหว่าง ข้างที่แพ้ เพราะสูญเสียเงิน หรือข้างที่ชนะ เพราะผลกำไรกำลังพอกพูนขึ้นมาเรื่อยๆ แต่สุดท้าย ก็ขึ้นกับ ความรู้ ประสบการณ์ และความดื้อรั้นของตนเอง ที่จะยอมฟังคำเตือนของผู้รู้หรือไม่ หรือจะยอมให้นักลงทุนรายใหญ่จูงจมูกต่อไปเรื่อยๆ จากข่าวลือ ที่ถูกป้อนเข้าปาก ตลอดเวลา
มันเป็นเรื่องของจังหวะ และประสบการณ์ ที่แต่ละคน จะต้องฝึกฝน เรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจ ในการศึกษารูปแบบการเคลื่อนไหวของกราฟ เพื่อที่จะพัฒนาต่อยอดจากความรู้ดังกล่าวไปเป็นทักษะในการทำกำไรในที่สุด ซึ่งต้องยอมรับว่า อาจต้องใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว แต่ถ้าทำได้ก็คุ้มค่าครับ (บางคนใช้เวลา 5 – 10 ปี แต่สำหรับบางคน อาจใช้เวลาตลอดชีวิต)
จากข้อความข้างต้น ทำให้ผมนึกถึงบุคคลท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก ท่านเคยล้มเหลวและเจ็บตัวกับการลงทุนมาก่อน จนต้องสูญเสียเงินก้อนใหญ่ในชีวิต (มากกว่า 20 ล้านบาท) กับวิธีการลงทุนที่ผิดๆ ซึ่งสำหรับเงินก้อนดังกล่าว หากเป็นตัวผมเอง ผมอาจตัดสินใจเลิกลงทุนไปเลยก็เป็นได้ อันเนื่องจากสภาพความทุกข์ ความสูญเสีย ผลของการขาดทุน ย่อมทำให้สภาพจิตใจ ไม่ปกติ ไหนจะคนรอบข้างอีก ที่หากเขาเข้าใจเรา ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ มันก็เหมือนกับนรกดีๆ นี่เอง บางคนอาจตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการคิดสั้น เพื่อยุติปัญหาไปเลยก็มี แต่สำหรับบุคคลที่ผมเอ่ยถึง เขากลับไม่คิดเช่นคนปกติ แต่เขากลับใช้เวลาที่เหลือ มานั่งพิจารณาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ว่าอะไรที่ทำให้เขาพลาด และอะไรเป็นจุดบกพร่องของการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งจากจุดนั้นเอง ทำให้บุคคลท่านนั้น ยอมควักเงินในกระเป๋าจำนวนกว่า 3 ล้านบาท ตระเวณบินไปทั่วโลก เพื่อสมัครเรียนกับกูรู และ บรรดาผู้รู้ด้านการลงทุน ทั้งในแถบยุโรป อเมริกา และเอเชีย เพื่อศึกษาศาสตร์ด้านการลงทุน โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค ว่า อะไรคือ “แก่น” และ “หัวใจ” ทางด้านนี้จริงๆ
ผมมีโอกาสได้พบกับบุคคลท่านนี้ ในฐานะลูกค้าของทางบริษัทฯ และรู้แค่ว่า ท่านเป็นผู้บริหาร และนักบินของสายการบินแห่งหนึ่ง รวมทั้งยังเป็นเจ้าของธุรกิจบางอย่างทางด้าน Software house อยู่หลายที่ แต่หลังจากได้พูดคุยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะในงานสัมมนาของกูรูด้าน Forex ที่จัดขึ้น ณ เมืองไทยเป็นครั้งแรก (ค่าเรียน 3,500 USD/ 3 วัน) ผมก็เลยมีความคิด ที่จะชักชวนนักลงทุนท่านนี้ ให้เข้ามาแชร์ประสบการณ์ และไอเดียการลงทุนบางอย่าง ในงาน Technical Day ครั้งที่ 2 ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม นี้ ณ อาคารสาทรธานี 1 ชั้น 7 (ติดรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรีย์) ที่นักลงทุนหลายท่าน เมื่อได้รับฟังแล้วอาจจะทึ่ง ในแนวคิดของบุคคลผู้นี้ ก็เป็นได้ (หากต้องการสำรองที่นั่ง (ฟรี) ติดต่อ 02 627 3360-2 หรือ www.technicalday.com)
ขอย้อนกลับมายังข้อมูลการเคลื่อนไหวของตลาด ณ ปัจจุบัน ในส่วนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์นั้น ยังสามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้ในขาขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากๆ อันเนื่องมาจาก ตำแหน่งที่อยู่ ณ ปัจจุบัน ที่ถือว่า เป็นจุดใกล้ยอดดอยเข้าไปทุกที (พ้น คลื่น 3 ของ คลื่น 5 ไปแล้ว) ซึ่งหากเป็นนักเก็งกำไร ที่เข้าทำสัญญา Long ไปเมื่อไม่นานหลัง SET50 Index Futures ปรับตัวทะลุ 523 จุด ไปเมื่อเร็วๆ นี้ (อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ในเว็บไซต์ technicalday.com) ซึ่งสามารถทำกำไรให้กับนักลงทุนไปมากกว่า 14,000 บาท ในเวลาเพียง 5 วัน กับการเข้าถือ 1 สัญญา หรือ ใช้เงินลงทุนประมาณ ห้าหมื่นบาทเศษ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนแล้วนั้น คร่าวๆ อยู่ประมาณ 30% ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยที่เดียวสำหรับการลงทุนในระยะสั้น โดยใช้สัญญาณทางเทคนิค
สำหรับนักเก็งกำไรที่สนใจลงทุนในทองคำนั้น คุณจะต้องรอให้ราคาทองคำในตลาดโลก ปรับตัวทะลุที่ระดับ 1,058 USD ไปก่อน ถึงจะเป็นสัญญาณที่สามารถเข้าไปทำกำไรในตลาดได้ แต่ก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะเป้าหมายถัดไปนั้น เป็นปลายคลื่น 5 พอดี ดังนั้นหากใครเข้าไม่ทัน ให้รอการปรับตัวลงของราคาทองคำในรอบใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ ขอบคุณครับ
โดยบริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ตลาดการลงทุนค่อนข้างผันผวนเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งตัวผมเอง ก็รับทราบและเฝ้ามองมาโดยตลอด แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มักจะสอดคล้องกับทฤษฏีทางด้านกราฟ (การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค) ที่ช่วยยืนยันว่า กราฟสามารถพยาการณ์แนวโน้ม และการเคลื่อนไหวของตลาดได้จริง จนทำให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างทยอยเข้ามากันในช่วงที่กราฟกำลังปรับตัวขึ้นไปเป็น คลื่น 5 (คลื่นขาขึ้น สุดท้าย ตามทฤษฏี Elliott Wave) จนทำให้เกิดข่าวสารต่างๆ มากมาย เพื่อเขย่าความรู้สึก ตลอดจนความมั่นใจของนักลงทุนในช่วงนี้ เพื่อสอดคล้องกับคำว่ายอดดอย (ฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง แต่ถ้าใครอยู่ในตลาดมานาน คงจะทราบว่าสิ่งที่ผมกำลังจะบอกนั้น คือ อะไร)
เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ลงทุนอยู่ หรือ คนที่เป็นลูกศิษย์ ลูกหา ที่ยังติดต่อกันอยู่นั้น ส่วนใหญ่ช่วงหลังมานี้มักจะเปรยๆ ให้ฟังอยู่เสมอว่า เมื่อไหร่จะถึงยอดดอยสักที อีกนานไหม ถึงหรือยัง ที่ถามเช่นนี้กันเยอะ เพราะเขาเหล่านั้นเรียนรู้จากผมว่า ช่วงหุ้นตก เป็นช่วงที่ทำกำไรใน สัญญา Short ของ SET50 Index Futures ได้รวดเร็วมากที่สุด หากต้องการรู้ว่ามากแค่ไหน ให้ลองจินตนาการและนึกภาพประกอบว่า หลายคน สามารถทำเงินหลักล้านได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ เท่านั้น (ในขณะที่บางคน ก็เสียหลายล้าน เช่นกัน)
เรามีสิทธิที่จะเลือกว่า เมื่อถึงเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว เราจะเลือกยืนอยู่ข้างไหน ระหว่าง ข้างที่แพ้ เพราะสูญเสียเงิน หรือข้างที่ชนะ เพราะผลกำไรกำลังพอกพูนขึ้นมาเรื่อยๆ แต่สุดท้าย ก็ขึ้นกับ ความรู้ ประสบการณ์ และความดื้อรั้นของตนเอง ที่จะยอมฟังคำเตือนของผู้รู้หรือไม่ หรือจะยอมให้นักลงทุนรายใหญ่จูงจมูกต่อไปเรื่อยๆ จากข่าวลือ ที่ถูกป้อนเข้าปาก ตลอดเวลา
มันเป็นเรื่องของจังหวะ และประสบการณ์ ที่แต่ละคน จะต้องฝึกฝน เรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจ ในการศึกษารูปแบบการเคลื่อนไหวของกราฟ เพื่อที่จะพัฒนาต่อยอดจากความรู้ดังกล่าวไปเป็นทักษะในการทำกำไรในที่สุด ซึ่งต้องยอมรับว่า อาจต้องใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว แต่ถ้าทำได้ก็คุ้มค่าครับ (บางคนใช้เวลา 5 – 10 ปี แต่สำหรับบางคน อาจใช้เวลาตลอดชีวิต)
จากข้อความข้างต้น ทำให้ผมนึกถึงบุคคลท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก ท่านเคยล้มเหลวและเจ็บตัวกับการลงทุนมาก่อน จนต้องสูญเสียเงินก้อนใหญ่ในชีวิต (มากกว่า 20 ล้านบาท) กับวิธีการลงทุนที่ผิดๆ ซึ่งสำหรับเงินก้อนดังกล่าว หากเป็นตัวผมเอง ผมอาจตัดสินใจเลิกลงทุนไปเลยก็เป็นได้ อันเนื่องจากสภาพความทุกข์ ความสูญเสีย ผลของการขาดทุน ย่อมทำให้สภาพจิตใจ ไม่ปกติ ไหนจะคนรอบข้างอีก ที่หากเขาเข้าใจเรา ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ มันก็เหมือนกับนรกดีๆ นี่เอง บางคนอาจตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการคิดสั้น เพื่อยุติปัญหาไปเลยก็มี แต่สำหรับบุคคลที่ผมเอ่ยถึง เขากลับไม่คิดเช่นคนปกติ แต่เขากลับใช้เวลาที่เหลือ มานั่งพิจารณาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ว่าอะไรที่ทำให้เขาพลาด และอะไรเป็นจุดบกพร่องของการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งจากจุดนั้นเอง ทำให้บุคคลท่านนั้น ยอมควักเงินในกระเป๋าจำนวนกว่า 3 ล้านบาท ตระเวณบินไปทั่วโลก เพื่อสมัครเรียนกับกูรู และ บรรดาผู้รู้ด้านการลงทุน ทั้งในแถบยุโรป อเมริกา และเอเชีย เพื่อศึกษาศาสตร์ด้านการลงทุน โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค ว่า อะไรคือ “แก่น” และ “หัวใจ” ทางด้านนี้จริงๆ
ผมมีโอกาสได้พบกับบุคคลท่านนี้ ในฐานะลูกค้าของทางบริษัทฯ และรู้แค่ว่า ท่านเป็นผู้บริหาร และนักบินของสายการบินแห่งหนึ่ง รวมทั้งยังเป็นเจ้าของธุรกิจบางอย่างทางด้าน Software house อยู่หลายที่ แต่หลังจากได้พูดคุยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะในงานสัมมนาของกูรูด้าน Forex ที่จัดขึ้น ณ เมืองไทยเป็นครั้งแรก (ค่าเรียน 3,500 USD/ 3 วัน) ผมก็เลยมีความคิด ที่จะชักชวนนักลงทุนท่านนี้ ให้เข้ามาแชร์ประสบการณ์ และไอเดียการลงทุนบางอย่าง ในงาน Technical Day ครั้งที่ 2 ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม นี้ ณ อาคารสาทรธานี 1 ชั้น 7 (ติดรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรีย์) ที่นักลงทุนหลายท่าน เมื่อได้รับฟังแล้วอาจจะทึ่ง ในแนวคิดของบุคคลผู้นี้ ก็เป็นได้ (หากต้องการสำรองที่นั่ง (ฟรี) ติดต่อ 02 627 3360-2 หรือ www.technicalday.com)
ขอย้อนกลับมายังข้อมูลการเคลื่อนไหวของตลาด ณ ปัจจุบัน ในส่วนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์นั้น ยังสามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้ในขาขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากๆ อันเนื่องมาจาก ตำแหน่งที่อยู่ ณ ปัจจุบัน ที่ถือว่า เป็นจุดใกล้ยอดดอยเข้าไปทุกที (พ้น คลื่น 3 ของ คลื่น 5 ไปแล้ว) ซึ่งหากเป็นนักเก็งกำไร ที่เข้าทำสัญญา Long ไปเมื่อไม่นานหลัง SET50 Index Futures ปรับตัวทะลุ 523 จุด ไปเมื่อเร็วๆ นี้ (อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ในเว็บไซต์ technicalday.com) ซึ่งสามารถทำกำไรให้กับนักลงทุนไปมากกว่า 14,000 บาท ในเวลาเพียง 5 วัน กับการเข้าถือ 1 สัญญา หรือ ใช้เงินลงทุนประมาณ ห้าหมื่นบาทเศษ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนแล้วนั้น คร่าวๆ อยู่ประมาณ 30% ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยที่เดียวสำหรับการลงทุนในระยะสั้น โดยใช้สัญญาณทางเทคนิค
สำหรับนักเก็งกำไรที่สนใจลงทุนในทองคำนั้น คุณจะต้องรอให้ราคาทองคำในตลาดโลก ปรับตัวทะลุที่ระดับ 1,058 USD ไปก่อน ถึงจะเป็นสัญญาณที่สามารถเข้าไปทำกำไรในตลาดได้ แต่ก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะเป้าหมายถัดไปนั้น เป็นปลายคลื่น 5 พอดี ดังนั้นหากใครเข้าไม่ทัน ให้รอการปรับตัวลงของราคาทองคำในรอบใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ ขอบคุณครับ