คอลัมน์ ตลาดทุนในสายตาต่างชาติ
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ไม่ทราบว่าจะเป็นโชคดี หรือโชคร้าย ที่ผมบังเอิญได้หยุดทำงานในวันอาทิตย์เป็นครั้งแรก ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากคิวที่ต้องไปบรรยายให้กับนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการอุตสาหกรรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในหัวข้อ “การบริหารโครงการ” และ “การเทรดหุ้น อย่างเซียน คุณก็ทำได้” (อันนี้นักศึกษาเรียกร้องมาครับ) มีอันต้องเลื่อนไป อันเนื่องมาจากโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดอย่างหนัก ทำให้ทางมหาวิทยาลัยฯ มีความจำเป็นต้องหยุดการเรียน การสอน เพื่อทำความสะอาด (ฆ่าเชื้อตามอาคารสถานที่) เป็นการใหญ่ จนทำให้ไม่สามารถเปิดสอนได้ตามปกติ
เปรียบไปก็คงเหมือนสถานการณ์ การลงทุนในบ้านเราในช่วงนี้ ที่ยังคงอยู่ในวังวนของความไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากปัจจัยภายนอก – ภายใน รุมเร้าอย่างหนัก จนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนราคาทองคำในตลาดโลก และราคาน้ำมันออกอาการผันผวนแบบสุดๆ ทำเอาปากกาเซียนหลายท่านหักไปตามๆ กัน ส่วนคำถามยอดฮิตที่หลายคนมักที่จะถามเสมอยามนี้คือ “ตอนนี้ซื้อหุ้นได้ยัง” หรือ “จะ Short ตอนนี้ ยังทันไหม” หรือ “ราคาทองคำตอนนี้ ถูกพอหรือยัง” และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งยากที่จะตอบให้ถูกต้อง นอกจากใช้ความพยายามในการ “เดา” ซึ่งก็ไม่เข้าหลักด้านการลงทุนเลยสักนิด
แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ชอบเดา และไม่ชอบมั่วแบบนักวิเคราะห์บางคน ที่สรรหาเหตุผลมาตอบแบบเอาสีข้างถูได้ทุกครั้งไป ดังนั้น เราจะมาใช้หลักทางเทคนิคง่ายๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกราฟราคากัน โดยมีเครื่องมือ ที่ประกอบไปด้วย MACD (Moving Average Convergence Divergence) NextVIEW RSI และ ทฤษฎี Elliott Wave แบบง่าย นำมาผสมผสานเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างเป็นราคาทองคำโลก เพราะเห็นว่ากำลังอยู่ในความสนใจของหลายคนครับ
โดยปกติ นักลงทุนที่ใช้กราฟเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกราฟราคาทั่วโลก (หมายความว่า ทฤษฏีกราฟ สามารถประยุกต์ใช้งานได้กับทุกตลาด ที่มีสภาพคล่องสูง) จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการนับคลื่นซึ่งอ้างอิงมาจากทฤษฏีของ Elliott Wave ด้วยกันทั้งนั้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ถ้าปล่อยให้นับกันเอง ผมว่าจะพาลนับผิดนับถูกกันซะปล่าวๆ ดังนั้น เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือประเภท MACD และ NextVIEW RSI มาใช้ประกอบ เพื่อยืนยันซึ่งกันและกันตามรูป
จากรูปที่ 2 ระบุว่า เราสามารถใช้อินดิเคเตอร์ประเภท MACD และ NextVIEW RSI ในการนับคลื่น โดยที่ MACD จะให้สัญญาณที่ไวกว่า ในกรณีขาขึ้น (ในที่นี้ หมายถึงสัญญาณของ คลื่นที่ 1) ส่วน NextVIEW RSI จะใช้เพื่อยืนยันว่า กราฟราคาได้กำลังปรับตัวเพื่อขึ้นไปถึง ณ คลื่นที่ 3 แล้ว โดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงจากกราฟสีแดง ไปเป็นกรอบสีเขียวใน NextVIEW RSI ส่วนในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเทียบเคียงได้กับช่วง จุดยอด หรือ TOPPING นั้น ทำให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวลงมากกว่าขึ้น ซึ่งนักเก็งกำไร ที่หวังจะเข้า ถือสัญญา Short ในช่วงนี้ อาจกำลังมองราคาเป้าหมายไว้ที่ 750 และ 700 USD ตามลำดับ (ขึ้นกับความมั่นยำในการตีเส้น Neckline ในกรณีใช้ Chart Pattern หรือ วัดเป้าหมายที่ 100% โดยใช้ Fibonacci Projection ได้อย่างแม่นยำ) ซึ่งจะทำให้เห็นราคาทองคำต่ำกว่า 14,000 บาท ได้ง่ายๆ
ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา ให้ดูง่ายๆ ดังนี้ หากกราฟปรับตัวลงไปต่ำกว่า 550 จุด ให้ปรับกลยุทธ์ โดยออกจากตลาด หรือ ถือสัญญาขายล่วงหน้า ใน SET50 แต่หากปรับตัวขึ้นไปทะลุ 630 จุด ได้สำเร็จ ก็ให้เข้าตลาดได้เลย เพราะตลาดในภาพรวม จะปรับตัวขึ้นสั้นๆ อีกครั้งครับ หรืออาจใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ “คู่ควบ” (ถือสัญญาซื้อล่วงหน้า พร้อมกับลงทุนในหุ้นที่มีค่า เบต้าสูงๆ เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน เป็นต้น)
เห็นไหมครับว่า ทำไมผมถึงแนะนำให้ “กบดาน” ในช่วงนี้ เพราะความไม่แน่นอนนั้น ยังคงคลุมเคลืออยู่จนกว่าดัชนีจะแกว่งตัวหลุดออกมาจากกรอบดังกล่าวได้สำเร็จ ดังนั้น ถ้าไม่อยากเสี่ยง ก็ให้รอต่อไปเรื่อยๆ นะครับ (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.technicalday.com)
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ไม่ทราบว่าจะเป็นโชคดี หรือโชคร้าย ที่ผมบังเอิญได้หยุดทำงานในวันอาทิตย์เป็นครั้งแรก ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากคิวที่ต้องไปบรรยายให้กับนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการอุตสาหกรรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในหัวข้อ “การบริหารโครงการ” และ “การเทรดหุ้น อย่างเซียน คุณก็ทำได้” (อันนี้นักศึกษาเรียกร้องมาครับ) มีอันต้องเลื่อนไป อันเนื่องมาจากโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดอย่างหนัก ทำให้ทางมหาวิทยาลัยฯ มีความจำเป็นต้องหยุดการเรียน การสอน เพื่อทำความสะอาด (ฆ่าเชื้อตามอาคารสถานที่) เป็นการใหญ่ จนทำให้ไม่สามารถเปิดสอนได้ตามปกติ
เปรียบไปก็คงเหมือนสถานการณ์ การลงทุนในบ้านเราในช่วงนี้ ที่ยังคงอยู่ในวังวนของความไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากปัจจัยภายนอก – ภายใน รุมเร้าอย่างหนัก จนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนราคาทองคำในตลาดโลก และราคาน้ำมันออกอาการผันผวนแบบสุดๆ ทำเอาปากกาเซียนหลายท่านหักไปตามๆ กัน ส่วนคำถามยอดฮิตที่หลายคนมักที่จะถามเสมอยามนี้คือ “ตอนนี้ซื้อหุ้นได้ยัง” หรือ “จะ Short ตอนนี้ ยังทันไหม” หรือ “ราคาทองคำตอนนี้ ถูกพอหรือยัง” และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งยากที่จะตอบให้ถูกต้อง นอกจากใช้ความพยายามในการ “เดา” ซึ่งก็ไม่เข้าหลักด้านการลงทุนเลยสักนิด
แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ชอบเดา และไม่ชอบมั่วแบบนักวิเคราะห์บางคน ที่สรรหาเหตุผลมาตอบแบบเอาสีข้างถูได้ทุกครั้งไป ดังนั้น เราจะมาใช้หลักทางเทคนิคง่ายๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกราฟราคากัน โดยมีเครื่องมือ ที่ประกอบไปด้วย MACD (Moving Average Convergence Divergence) NextVIEW RSI และ ทฤษฎี Elliott Wave แบบง่าย นำมาผสมผสานเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างเป็นราคาทองคำโลก เพราะเห็นว่ากำลังอยู่ในความสนใจของหลายคนครับ
โดยปกติ นักลงทุนที่ใช้กราฟเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกราฟราคาทั่วโลก (หมายความว่า ทฤษฏีกราฟ สามารถประยุกต์ใช้งานได้กับทุกตลาด ที่มีสภาพคล่องสูง) จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการนับคลื่นซึ่งอ้างอิงมาจากทฤษฏีของ Elliott Wave ด้วยกันทั้งนั้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ถ้าปล่อยให้นับกันเอง ผมว่าจะพาลนับผิดนับถูกกันซะปล่าวๆ ดังนั้น เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือประเภท MACD และ NextVIEW RSI มาใช้ประกอบ เพื่อยืนยันซึ่งกันและกันตามรูป
จากรูปที่ 2 ระบุว่า เราสามารถใช้อินดิเคเตอร์ประเภท MACD และ NextVIEW RSI ในการนับคลื่น โดยที่ MACD จะให้สัญญาณที่ไวกว่า ในกรณีขาขึ้น (ในที่นี้ หมายถึงสัญญาณของ คลื่นที่ 1) ส่วน NextVIEW RSI จะใช้เพื่อยืนยันว่า กราฟราคาได้กำลังปรับตัวเพื่อขึ้นไปถึง ณ คลื่นที่ 3 แล้ว โดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงจากกราฟสีแดง ไปเป็นกรอบสีเขียวใน NextVIEW RSI ส่วนในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเทียบเคียงได้กับช่วง จุดยอด หรือ TOPPING นั้น ทำให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวลงมากกว่าขึ้น ซึ่งนักเก็งกำไร ที่หวังจะเข้า ถือสัญญา Short ในช่วงนี้ อาจกำลังมองราคาเป้าหมายไว้ที่ 750 และ 700 USD ตามลำดับ (ขึ้นกับความมั่นยำในการตีเส้น Neckline ในกรณีใช้ Chart Pattern หรือ วัดเป้าหมายที่ 100% โดยใช้ Fibonacci Projection ได้อย่างแม่นยำ) ซึ่งจะทำให้เห็นราคาทองคำต่ำกว่า 14,000 บาท ได้ง่ายๆ
ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา ให้ดูง่ายๆ ดังนี้ หากกราฟปรับตัวลงไปต่ำกว่า 550 จุด ให้ปรับกลยุทธ์ โดยออกจากตลาด หรือ ถือสัญญาขายล่วงหน้า ใน SET50 แต่หากปรับตัวขึ้นไปทะลุ 630 จุด ได้สำเร็จ ก็ให้เข้าตลาดได้เลย เพราะตลาดในภาพรวม จะปรับตัวขึ้นสั้นๆ อีกครั้งครับ หรืออาจใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ “คู่ควบ” (ถือสัญญาซื้อล่วงหน้า พร้อมกับลงทุนในหุ้นที่มีค่า เบต้าสูงๆ เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน เป็นต้น)
เห็นไหมครับว่า ทำไมผมถึงแนะนำให้ “กบดาน” ในช่วงนี้ เพราะความไม่แน่นอนนั้น ยังคงคลุมเคลืออยู่จนกว่าดัชนีจะแกว่งตัวหลุดออกมาจากกรอบดังกล่าวได้สำเร็จ ดังนั้น ถ้าไม่อยากเสี่ยง ก็ให้รอต่อไปเรื่อยๆ นะครับ (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.technicalday.com)