คอลัมน์ ตลาดทุนไทยในสายตาต่างชาติ
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
สมัยก่อนตอนผมเริ่มเข้าสู่ธุรกิจตลาดทุนใหม่ๆ โดยได้รับโอกาสที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต ในการเข้าร่วมงานกับบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด ซึ่งโดยส่วนตัวค่อนข้างตื่นเต้น ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับอีกหนึ่งธุรกิจ ที่คนที่อยู่ในสังคมดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง โดยเพียงแค่นำเงินไปลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ ตราสารหนี้ หรือแม้กระทั้งกองทุน ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารหลายเท่า
ผมรู้สึกตื่นเต้นในความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนต่างของราคา (Capital gain) เงินปันผล (Dividend) ที่ทำให้นักลงทุนทั้งมือใหม่ และมือเก่า มั่งคั่งด้วยผลตอบแทนที่หลากหลายภายใต้กรอบการลงทุน หรือสินค้าทางการเงินที่น่าสนใจมากๆ เช่น สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 20% ภายในวันเดียว (หากตลาดมีความผันผวนเพียงพอ) สามารถทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียภาษี (อันนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่) สามารถสร้างรูปแบบกิจการได้ด้วยตัวคนเดียว โดยไม่ต้องจ้างฝ่ายบัญชี เอาไว้คอยจัดทำใบเสนอราคา เอกสารทวงหนี้ ฯ ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานฝ่ายขายให้ยุ่งยาก และไม่ต้องประสบปัญหาด้านการบริหารคน และบริหารงานต่างๆ อีกมากมาย
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น การลงทุนในหุ้น หรือสัญญาล่วงหน้าประเภทต่างๆ ที่อ้างอิงในตราสารทางการเงิน หรือสินค้าทางการเกษตรนั้น ถือเป็นทางลัดสู่การทำงานของคนที่หวังจะสร้างความมั่งคั่ง และร่ำรวยให้กับตนเอง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่งปวดหัวเรื่องสัพเพเหระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะยุ่งอยู่กับว่า ในวันนี้จะวางแผนการลงทุนอย่างไร ด้วยเงินเท่าไหร่ และในสินค้าตัวไหนก็พอ
แนวความคิดผมเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากอยู่ในธุรกิจนี้มาได้ประมาณ 1 ปี อันเนื่องมาจากหน้าที่ของตนเองที่ต้องออกไปทำการตลาดให้กับบริษัทฯ ในฐานะ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องออกไปออกบูท หรือให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่นักลงทุน และผู้สนใจ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่วันที่ผมได้รับความรู้สึกนั้น จนถึงวันนี้ เหตุการณ์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เป็นเหมือนที่ทำเงินให้กับนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไร เหมือนอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่ตลาดหลักทรัพย์เป็นเหมือน... ที่มีระบบการจัดการที่ดี ฝ่ายใต้สโลแกนที่ว่า “ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน” และการลงทุนในระยะยาว ย่อมสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการเก็งกำไร อะไรประมาณนั้น
ในฐานะที่ตัวผมเองเคยเป็นวิทยากรอาสาให้กับตลาดหลักทรัพย์มาก่อน (แต่ถูกให้ออกโดยไม่สมัครใจ เพราะเหตุผลที่ว่า บริษัทฯ ที่ผมทำงานให้นั้น ทำธุรกิจด้านการอบรมความรู้ให้แก่นักลงทุนโดยวิทยากรชาวต่างประเทศ ซึ่งผู้บริหารของหน่วยงานที่ให้ความรู้แก่นักลงทุนฯ ที่โทรมาคุยกับผมนั้นบอกว่า ผมทำธุรกิจให้ความรู้ซึ่งเหมือนกับไปแข่งขันกับตลาดฯ จึงไม่สมควรที่จะเป็นวิทยากรอาสาอีกต่อไป) ผมเข้าใจถึงรูปแบบการให้ความรู้แบบพอเพียง (น้อยที่สุด เท่าที่จะน้อยได้) และไม่ตรงประเด็น จนเกือบไม่มีประโยชน์ต่อนักลงทุนเลยแม้แต่น้อย หากเทียบกับคำโฆษณาคำโต ที่เป่าประกาศออกมาทุกวัน ซึ่งแน่นอนที่ย่อมทำให้ แม่งเม่า หลงมัวเมากับแสงเพลิง จนตาลาย และบินไปตายในที่สุด
โดยส่วนตัว จากการเป็นวิทยากรสอนนักลงทุนมาตลอด 7 ปีนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบคือ หัวใจของการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนในประเทศเรานั้น ยังไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหลักสูตร ระบบการประเมินผล คุณภาพของวิทยากร หรืออื่นๆ อีกมาก จนทำให้ผมคิดย้อนกลับมาหาตนเองว่า ปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้กลุ่มนักลงทุน (เก็งกำไร) อย่างผม หรือ พี่ๆ น้องๆ ในกลุ่มเดียวกัน สามารถลงทุนได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงิน จากการสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมากๆ เหมือนกับนักลงทุนหลายๆ ท่าน ที่ลงทุนอยู่ในปัจจุบัน และในอดีตที่ผ่านมา
ผมได้ริเริ่มและพัฒนาหลักสูตรด้านการอบรม เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนตามแบบอย่างที่ตนเองได้ร่ำเรียนมาจากวิทยากรชื่อดัง ซึ่งติดอันดับ TOP 5 ของประเทศจีน คือ MR. Collin Li Xing Jing ที่ถือว่าเป็นอาจารย์คนแรกที่ประสิทธิ์ ประสาทองค์ความรู้ด้านการลงทุนผ่านการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ให้กับผมสมัยที่ไปฝึกงานที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม จนได้มีโอกาสนำความรู้ที่ได้รับ มาถ่ายทอดให้กับนักลงทุนหรือผู้สนใจ ผ่านคอลัมภ์ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้จัดการรายวัน วารสาร Stock Review, Bluechip Magazine, หนังสือพิมพ์ทันหุ้น, กระแสหุ้น หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ Settrade.com
ภายในเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ผมทุ่มเทกับการพัฒนาหลักสูตรด้านการลงทุนที่เน้นด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยได้รับความร่วมมือจากวิทยากรชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์ตรง มาเป็นวิทยากร นอกจากนั้น ผมยังต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ มาช่วยเป็นที่ปรึกษา เพื่อวางรูปแบบการศึกษาที่ถูกต้อง สำหรับนักลงทุน และผู้สนใจ ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นการจัดทำรูปแบบ การเรียนการสอนครั้งแรกในเมืองไทย ที่เปิดสอนโดยใช้ระยะเวลา 2 เดือนเต็ม (เสาร์-อาทิตย์) โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคคลากร และการประเมินมาช่วยทำแผนการเรียนให้กับนักเรียนทุกคน ซึ่งยังไม่รวมระบบพี่เลี้ยงเพื่อช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องของเนื้อหาของบทเรียนในแต่ละสัปดาห์เพิ่มเติมอีกด้วย
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหลักสูตรที่ได้พัฒนาขึ้นมานี้ น่าจะเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน หรือผู้สนใจที่ไม่ต้องการจ่ายบทเรียนราคาแพงด้วยการสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมากอีกต่อไป หากสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม รบกวนโทรสอบถามได้ที่หมายเลข 089 072 7776 ในเวลาทำงาน หรือเว็บไซต์ www.technicalday.com ครับ
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
สมัยก่อนตอนผมเริ่มเข้าสู่ธุรกิจตลาดทุนใหม่ๆ โดยได้รับโอกาสที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต ในการเข้าร่วมงานกับบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด ซึ่งโดยส่วนตัวค่อนข้างตื่นเต้น ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับอีกหนึ่งธุรกิจ ที่คนที่อยู่ในสังคมดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง โดยเพียงแค่นำเงินไปลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ ตราสารหนี้ หรือแม้กระทั้งกองทุน ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารหลายเท่า
ผมรู้สึกตื่นเต้นในความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนต่างของราคา (Capital gain) เงินปันผล (Dividend) ที่ทำให้นักลงทุนทั้งมือใหม่ และมือเก่า มั่งคั่งด้วยผลตอบแทนที่หลากหลายภายใต้กรอบการลงทุน หรือสินค้าทางการเงินที่น่าสนใจมากๆ เช่น สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 20% ภายในวันเดียว (หากตลาดมีความผันผวนเพียงพอ) สามารถทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียภาษี (อันนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่) สามารถสร้างรูปแบบกิจการได้ด้วยตัวคนเดียว โดยไม่ต้องจ้างฝ่ายบัญชี เอาไว้คอยจัดทำใบเสนอราคา เอกสารทวงหนี้ ฯ ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานฝ่ายขายให้ยุ่งยาก และไม่ต้องประสบปัญหาด้านการบริหารคน และบริหารงานต่างๆ อีกมากมาย
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น การลงทุนในหุ้น หรือสัญญาล่วงหน้าประเภทต่างๆ ที่อ้างอิงในตราสารทางการเงิน หรือสินค้าทางการเกษตรนั้น ถือเป็นทางลัดสู่การทำงานของคนที่หวังจะสร้างความมั่งคั่ง และร่ำรวยให้กับตนเอง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่งปวดหัวเรื่องสัพเพเหระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะยุ่งอยู่กับว่า ในวันนี้จะวางแผนการลงทุนอย่างไร ด้วยเงินเท่าไหร่ และในสินค้าตัวไหนก็พอ
แนวความคิดผมเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากอยู่ในธุรกิจนี้มาได้ประมาณ 1 ปี อันเนื่องมาจากหน้าที่ของตนเองที่ต้องออกไปทำการตลาดให้กับบริษัทฯ ในฐานะ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องออกไปออกบูท หรือให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่นักลงทุน และผู้สนใจ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่วันที่ผมได้รับความรู้สึกนั้น จนถึงวันนี้ เหตุการณ์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เป็นเหมือนที่ทำเงินให้กับนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไร เหมือนอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่ตลาดหลักทรัพย์เป็นเหมือน... ที่มีระบบการจัดการที่ดี ฝ่ายใต้สโลแกนที่ว่า “ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน” และการลงทุนในระยะยาว ย่อมสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการเก็งกำไร อะไรประมาณนั้น
ในฐานะที่ตัวผมเองเคยเป็นวิทยากรอาสาให้กับตลาดหลักทรัพย์มาก่อน (แต่ถูกให้ออกโดยไม่สมัครใจ เพราะเหตุผลที่ว่า บริษัทฯ ที่ผมทำงานให้นั้น ทำธุรกิจด้านการอบรมความรู้ให้แก่นักลงทุนโดยวิทยากรชาวต่างประเทศ ซึ่งผู้บริหารของหน่วยงานที่ให้ความรู้แก่นักลงทุนฯ ที่โทรมาคุยกับผมนั้นบอกว่า ผมทำธุรกิจให้ความรู้ซึ่งเหมือนกับไปแข่งขันกับตลาดฯ จึงไม่สมควรที่จะเป็นวิทยากรอาสาอีกต่อไป) ผมเข้าใจถึงรูปแบบการให้ความรู้แบบพอเพียง (น้อยที่สุด เท่าที่จะน้อยได้) และไม่ตรงประเด็น จนเกือบไม่มีประโยชน์ต่อนักลงทุนเลยแม้แต่น้อย หากเทียบกับคำโฆษณาคำโต ที่เป่าประกาศออกมาทุกวัน ซึ่งแน่นอนที่ย่อมทำให้ แม่งเม่า หลงมัวเมากับแสงเพลิง จนตาลาย และบินไปตายในที่สุด
โดยส่วนตัว จากการเป็นวิทยากรสอนนักลงทุนมาตลอด 7 ปีนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบคือ หัวใจของการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนในประเทศเรานั้น ยังไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหลักสูตร ระบบการประเมินผล คุณภาพของวิทยากร หรืออื่นๆ อีกมาก จนทำให้ผมคิดย้อนกลับมาหาตนเองว่า ปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้กลุ่มนักลงทุน (เก็งกำไร) อย่างผม หรือ พี่ๆ น้องๆ ในกลุ่มเดียวกัน สามารถลงทุนได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงิน จากการสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมากๆ เหมือนกับนักลงทุนหลายๆ ท่าน ที่ลงทุนอยู่ในปัจจุบัน และในอดีตที่ผ่านมา
ผมได้ริเริ่มและพัฒนาหลักสูตรด้านการอบรม เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนตามแบบอย่างที่ตนเองได้ร่ำเรียนมาจากวิทยากรชื่อดัง ซึ่งติดอันดับ TOP 5 ของประเทศจีน คือ MR. Collin Li Xing Jing ที่ถือว่าเป็นอาจารย์คนแรกที่ประสิทธิ์ ประสาทองค์ความรู้ด้านการลงทุนผ่านการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ให้กับผมสมัยที่ไปฝึกงานที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม จนได้มีโอกาสนำความรู้ที่ได้รับ มาถ่ายทอดให้กับนักลงทุนหรือผู้สนใจ ผ่านคอลัมภ์ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้จัดการรายวัน วารสาร Stock Review, Bluechip Magazine, หนังสือพิมพ์ทันหุ้น, กระแสหุ้น หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ Settrade.com
ภายในเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ผมทุ่มเทกับการพัฒนาหลักสูตรด้านการลงทุนที่เน้นด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยได้รับความร่วมมือจากวิทยากรชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์ตรง มาเป็นวิทยากร นอกจากนั้น ผมยังต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ มาช่วยเป็นที่ปรึกษา เพื่อวางรูปแบบการศึกษาที่ถูกต้อง สำหรับนักลงทุน และผู้สนใจ ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นการจัดทำรูปแบบ การเรียนการสอนครั้งแรกในเมืองไทย ที่เปิดสอนโดยใช้ระยะเวลา 2 เดือนเต็ม (เสาร์-อาทิตย์) โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคคลากร และการประเมินมาช่วยทำแผนการเรียนให้กับนักเรียนทุกคน ซึ่งยังไม่รวมระบบพี่เลี้ยงเพื่อช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องของเนื้อหาของบทเรียนในแต่ละสัปดาห์เพิ่มเติมอีกด้วย
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหลักสูตรที่ได้พัฒนาขึ้นมานี้ น่าจะเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน หรือผู้สนใจที่ไม่ต้องการจ่ายบทเรียนราคาแพงด้วยการสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมากอีกต่อไป หากสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม รบกวนโทรสอบถามได้ที่หมายเลข 089 072 7776 ในเวลาทำงาน หรือเว็บไซต์ www.technicalday.com ครับ