xs
xsm
sm
md
lg

การจัดพอร์ตการลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ : Design Your Life by Mutual Fund
โดยนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด

ภาวะการลงทุนปัจจุบันอาจจะสร้างความไม่แน่ใจกับผู้ลงทุนไม่น้อย ผู้ลงทุนหลาย ๆ ท่านถามว่า ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวแล้วจริงหรือ โดยส่วนตัวแล้วมองว่าการปรับตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในช่วงนี้ค่อนข้างผันผวนและเปราะบาง การลงทุนระยะสั้น ๆ ควรเพิ่มความระมัดระวังและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดค่ะ แต่สำหรับการวางแผนการลงทุนระยะยาวแล้ว การลงทุนในหุ้นยังเป็นช่องทางหนึ่งในการจัดสรรเงินลงทุนบางส่วน เพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนในระยะยาว โดยต้องคัดเลือกและจับจังหวะการลงทุนให้เหมาะสม

ในทุก ๆ การลงทุนไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้น หรือเครื่องมือการลงทุนอื่น ๆ อย่างสินค้าโภคภัณฑ์ ล้วนมีการเคลื่อนไหวของราคาแตกต่างกัน ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารแต่ละประเภทโดยส่วนมากไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เราได้ประโยชน์จากการบริหารการลงทุนโดยการกระจายความเสี่ยง

การแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนว่าจะนำไปลงทุนในทรัพย์สินประเภทใด มากน้อยแค่ไหน หรือที่ภาษาทางการเงินเราเรียกว่า Asset Allocation จึงเป็นปัจจัยสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับการลงทุน เนื่องจากตัวการลงทุนแต่ละประเภทมีความเสี่ยงและผลตอบแทนต่างกัน การลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งก็จะก่อให้เกิดการรวมตัวกันของความเสี่ยง การแบ่งสัดส่วนการลงทุนไปในตราสารที่มีการปรับตัวในทิศทางตรงข้าม จึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงลงนั่นเอง ซึ่งการจะเลือกส่วนผสมอย่างไรให้เหมาะสมกับผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่รับได้ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ลงทุนแต่ละคน

อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ถ้ารับความเสี่ยงไม่ได้ ก็ฝากเงินสถานเดียวได้หรือไม่ คำตอบก็คือได้ค่ะ หากผู้ลงทุนไม่คำนึงถึงค่าของเงินที่มีอยู่จะด้อยค่าลงในอนาคตจากผลของอัตราเงินเฟ้อ

การวางแผนการลงทุนที่ดีควรจะคำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้เงินที่มีอยู่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เพียงพอต่อการจับจ่ายใช้สอยในอนาคต หากมองจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และทั่วโลกที่คาดว่ากำลังฟื้นตัวขึ้นเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตตามการปรับขึ้นของราคาของสินค้าโภคภันท์ เช่น ราคาน้ำมัน และราคาเหล็ก ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3-5% ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากต้องการลงทุนในช่วงระยะเวลา 2 ปี ผลตอบแทนจากการลงทุนควรจะได้อย่างน้อย 3% เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สามารถชนะอัตราเงินเฟ้อ และชดเชยความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

อย่างไรก็ดี ในการจัดสรรพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่รับได้ ซึ่งท่านสามารถขอรับคำปรึกษาด้านการลงทุนได้จากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน อาทิ บริษัทจัดการลงทุนแต่ละแห่ง แต่โดยรวมแล้วสำหรับผู้ที่สามารถได้รับความเสี่ยงได้บ้าง ขอแนะนำให้จัดสรรเงินลงทุนบางส่วนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น หรือสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าที่แท้จริงที่สามารถช่วยป้องกันการสูญเสียความสามารถในการซื้อ (Inflation Hedged) อย่างสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน และทองคำ

การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ควรพิจารณา หุ้นของภูมิภาคเอเชียที่มีอัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสูง เช่น จีน และฮ่องกง ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการทางการเงินโดยตรง ข้อเด่นของการมีฐานะทางการเงินที่ค่อนข้างมั่นคงเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ การมีหนี้สินต่ำและนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นในการเอื้อต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เอเชียได้รับความสนใจในการลงทุนไม่น้อย ในส่วนภูมิภาคอื่น คงหนีไม่พ้นอเมริกา ในส่วนหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีธุรกิจอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะได้รับอานิสสงค์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่มีราคาปรับลดลงมามากในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตามอย่าลืม “จัดสรรและจับจังหวะ” ให้ดีก่อนลงทุน ซื้อตอนถูกขายตอนแพงค่ะ
กำลังโหลดความคิดเห็น