xs
xsm
sm
md
lg

จะลงทุนอย่างไร...ยามดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ Design Your Life by Mutual Fund
บทความโดย.....คุณวิโรจน์ ตั้งเจริญ
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด1
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร 02-670-4900

ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงสิ้นปีนี้ ก็มีทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเททศไทย หุ้นกูเอกชน และกองทุนรวม ที่ทะยอยออกมาเสนอขายให้กับผู้มีเงินออม เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน ซึ่งมีทั้งอายุสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี ไปจนถึงอายุยาวๆ ระดับตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป ประกอบกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย กำลังจะเข้าสู่แนวโน้มของดอกเบี้ยขาขึ้น ก็คงจะมีคำถามจากนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่ถามหาวิธีการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าจะมีหลักการใดมาประกอบการพิจารณาเลือกลงทุน จะลงทุนสั้นๆ หรือจะล็อคการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวๆ ดี

หากตอบทางทฤษฎีแล้ว ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้หรือกองทุนตราสารหนี้อายุสั้นๆ เพราะเมื่อครบกำหนดอายุการลงทุนแล้ว ท่านก็จะสามารถนำเงินที่ได้รับคืนไป กลับมาลงทุนใหม่ที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อีกทั้งหากมีความจำเป็นที่ต้องขายคืนก่อนครบอายุการลงทุน หรือก่อนครบกำหนด ก็จะขาดทุนน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนสามารถถือครองการลงทุนจนครบกำหนด นักลงทุนควรพิจารณาเลือกลงทุนโดยคำนึงถึงอัตราการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยว่า จะสามารถปรับขึ้นไปได้มากน้อยแค่ไหน ใช้เวลายาวนานเท่าใด หรือรวดเร็วแค่ไหน มาประกอบการพิจารณาด้วย เช่น หากท่านคาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นได้มาก และรวดเร็ว ท่านควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ หรือกองทุนตราสารหนี้ทั้งในประเทศ และที่ลงทุนในต่างประเทศ ที่มีอายุสั้นๆ ไม่เกิน 6 เดือน แต่หากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่คิดว่าจะเป็นขาขึ้น จะขึ้นได้ไม่มากนัก และอาจต้องใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน การจัดสรรเงินลงทุนจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ เพราะหากท่านนำเงินทุนส่วนใหญ่ไปลงทุนในตราสารนี้หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมากไป ท่านก็จะเสียโอกาสในการได้รับอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สูงกว่าจากการลงทุนในระยะยาวได้ เช่น หากเลือกลงทุนในระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี ท่านก็จะได้ผลตอบแทนประมาณ 2% ขณะที่การลงทุนในระยะยาว ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป แล้วได้ผลตอบแทนประมาณ 3.4% ขึ้นไป จะเห็นได้ว่าในช่วงปีแรกท่านจะเสียเปรียบ อยู่ประมาณ 1.4% ต่อปี ซึ่งหากเงินที่ท่านได้รับคืนจากการลงทุนในปีที่1 แล้วนำไปลงทุนต่อในปีที่ 2 เป็นต้นไป เนื่องจากท่านคิดว่าอัตราดอกเบี้ยจะได้รับสูงขึ้น ท่านจะต้องลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 4.8% (3.4%+1.4%) หากน้อยกว่าท่านก็จะเสียเปรียบ

ดังนั้น การคาดการณ์ในทิศทางของอัตราการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย จึงมีความจำเป็นต่อการพิจารณาลงทุน ซึ่งการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในระยะยาวนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก หากแต่การพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการการใช้เงิน ควบคู่ไปกับการคาดการณ์ในทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสม เช่น

1. เงินที่ท่านจะไว้ใช้จ่ายทั่วไปในระยะสั้นๆ ก็ควรพิจารณาเลือกจัดสรรเงินลงทุนในเงินฝากธนาคา หรือกองทุนตลาดเงิน ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการรับผลงตอบแทนที่มากกว่า

2. เงินที่จะต้องไว้ใช้จ่ายในช่วง 1 ปี ก็ควรพิจารณาเลือกจัดสรรเงินลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ทั้งในและต่างประเทศ ที่อายุ ไม่เกิน 1 ปี ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากประจำ

3. เงินที่สามารถลงทุนได้นานกว่า 1 ปี ขึ้นไป ก็สามารถพิจารณาเลือกลงทุนในพันธบัตรภาครัฐ หรือหุ้นกู้เอกชน หรือเลือกพิจารณาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ทั้งในล่างประเทศ ก็จะเป็นการเพิ่มทางเลือที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ขณะที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีด้วย

สุดท้ายนี้ ผมก็อยากย้ำเตือนท่านที่ต้องการลงทุน พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีว่า อย่าลืมลงทุนในกองทุน RMF และ LTF ในปีนี้ และอย่าไปรอลงทุนตอนสิ้นปี เพราะตลาดหุ้นอาจปรับสูงขึ้นไปแล้ว ควรใช้เวลาในช่วง 3 – 4 เดือน นี้ เฉลี่ยการลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น