บลจ.กสิกรไทยระบุเงินไหลออกกองมันนี่มาร์เก็ตเรื่องธรรมดา หลังนักลงทุนหันหาผลตอบแทนสูง ทั้งกองเกาหลี พันธบัตรออมทรัพย์ของภาครัฐ มั่นใจทั้งปียังรักษาเอยูเอ็มให้โตตามเป้าได้ พร้อมเตรียมออก 3 กองทุนเอาใจนักลงทุนช่วงครึ่งหลังเพิ่ม เล็งลงทุนจีน หุ้นกู้ และกองผสมภายในประเทศ
นายนคร ตามไท ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและสื่อสารการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การที่สินทรัพย์รวมของกองทุนเปิดตราสารหนี้ระยะสั้น K-Treasury มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาทนั้น น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า
"มันก็ไม่น่าแปลกเหมือนกองมันนี่มาร์เก็ตทั่วไป ซึ่งเราตั้งใจให้นักลงทุนเอาไว้พักเงิน โดยช่วงที่ผ่านมาเงินที่ไหลออกจากกองนี้ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในกองเกาหลีซะเยอะ และก็มีบ้างที่ถูกดึงไปในช่วงที่รัฐบาลออกพันธบัตรออมทรัพย์มา แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นที่จะไหลไปกองหุ้นมากนัก"นายนครกล่าว
สำหรับกองทุน K-Treasury มีนโยบายที่เน้นลงทุนในตราสารภาครัฐระยะสั้น โดยไม่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน ทำให้เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และก่อนหน้านี้นับเป็นกองทุนที่มีผลต่อการขยายตัวของสินทรัพย์รวมของบลจ.กสิกรไทย โดยในช่วงต้นปี 2552 กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึง 100,563 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 78,548 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 12 เดือนจากปี 2551 และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนมีขนาดกองสูงสุดกว่า 1.3 แสนล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานก่อนหน้านี้ ณ วันที่ 16 มกราคม 2552 ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.62% โดยเกณฑ์มาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบอยู่ที่ 2.31% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.88% เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานจะอยู่ที่ 2.53% ขณะที่ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.83% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.51% และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 3.52% ซึ่งเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานจะอยู่ที่ 3.32%
ขณะที่ผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2552 ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 0.65% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 0.69% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 1.62% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 2.88% และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 0.61%
นายนคร กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังคงสามารถรักษาการเป็นที่ 1 ของธุรกิจกองทุนทั้งระบบเอาไว้ได้ แต่หากเป็นประเภทกองทุนรวมอย่างเดียวขณะนี้นับเป็นที่ 2 ในธุรกิจ โดยในปีนี้บริษัทยังคงตั้งเป้าที่จะรักษาระดับสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารงาน (AUM)ให้ใกล้เคียงจากปัจจุบันที่มี AUM อยู่ที่ 4.7 แสนล้านบาท และส่วนของกองทุนรวมที่ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดขายกองทุนใหม่อีกประมาณ 3 กองทุน ซึ่งน่าจะเป็นกองทุนที่เอาไว้รองรับในการจัด Asset Alocation ให้ลูกค้า ที่จะลงทุนในตราสารหนี้ และลงทุนในตลาดหุ้นภายในประเทศ 1 กอง ส่วนอีก 2 กองจะแบ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเช่นจีน และกองทุนหุ้นกู้เอกชน
นายนคร ตามไท ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและสื่อสารการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การที่สินทรัพย์รวมของกองทุนเปิดตราสารหนี้ระยะสั้น K-Treasury มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาทนั้น น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า
"มันก็ไม่น่าแปลกเหมือนกองมันนี่มาร์เก็ตทั่วไป ซึ่งเราตั้งใจให้นักลงทุนเอาไว้พักเงิน โดยช่วงที่ผ่านมาเงินที่ไหลออกจากกองนี้ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในกองเกาหลีซะเยอะ และก็มีบ้างที่ถูกดึงไปในช่วงที่รัฐบาลออกพันธบัตรออมทรัพย์มา แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นที่จะไหลไปกองหุ้นมากนัก"นายนครกล่าว
สำหรับกองทุน K-Treasury มีนโยบายที่เน้นลงทุนในตราสารภาครัฐระยะสั้น โดยไม่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน ทำให้เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และก่อนหน้านี้นับเป็นกองทุนที่มีผลต่อการขยายตัวของสินทรัพย์รวมของบลจ.กสิกรไทย โดยในช่วงต้นปี 2552 กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึง 100,563 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 78,548 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 12 เดือนจากปี 2551 และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนมีขนาดกองสูงสุดกว่า 1.3 แสนล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานก่อนหน้านี้ ณ วันที่ 16 มกราคม 2552 ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.62% โดยเกณฑ์มาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบอยู่ที่ 2.31% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.88% เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานจะอยู่ที่ 2.53% ขณะที่ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.83% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.51% และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 3.52% ซึ่งเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานจะอยู่ที่ 3.32%
ขณะที่ผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2552 ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 0.65% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 0.69% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 1.62% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 2.88% และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 0.61%
นายนคร กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังคงสามารถรักษาการเป็นที่ 1 ของธุรกิจกองทุนทั้งระบบเอาไว้ได้ แต่หากเป็นประเภทกองทุนรวมอย่างเดียวขณะนี้นับเป็นที่ 2 ในธุรกิจ โดยในปีนี้บริษัทยังคงตั้งเป้าที่จะรักษาระดับสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารงาน (AUM)ให้ใกล้เคียงจากปัจจุบันที่มี AUM อยู่ที่ 4.7 แสนล้านบาท และส่วนของกองทุนรวมที่ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดขายกองทุนใหม่อีกประมาณ 3 กองทุน ซึ่งน่าจะเป็นกองทุนที่เอาไว้รองรับในการจัด Asset Alocation ให้ลูกค้า ที่จะลงทุนในตราสารหนี้ และลงทุนในตลาดหุ้นภายในประเทศ 1 กอง ส่วนอีก 2 กองจะแบ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเช่นจีน และกองทุนหุ้นกู้เอกชน