บลจ.กสิกรไทยโดดร่วมวงกองหุ้นกู้ในประเทศ ส่งกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 42 เดือน เอ ล่อใจนักลงทุน พร้อมปัดฝุ่น 2 กองหุ้นต่างประเทศ "K-GLOBE-K-MENA" แนะนำนักลงทุนอีกครั้ง มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นดันผลตอบแทนพุ่ง และเป็นการกระจายการลงทุนไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในตลาดเดียว
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนในประเทศสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำถึงปานกลาง แต่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าจูงใจในระยะยาว ทางบริษัทจึงเตรียมทำการเสนอขายกองทุน เปิดเค ตราสารหนี้ 42 เดือน เอ (KFI42MA) ตั้งแต่วันนี้(3 กันยายน) ถึงวันที่ 10 กันยายน 2552
สำหรับกองทุนดังกล่าวมีขนาดกองทุน 4,500 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 3 ปี 6 เดือน และเน้นลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่มีอันดับเครดิตเฉลี่ย A- ซึ่งผู้ลงทุนที่ต้องการล็อคเงินเข้าลงทุนในระยะยาวในกองทุนดังกล่าว สามารถมั่นใจได้ในคุณภาพของตราสาร
ทั้งนี้ หุ้นกู้ที่ บลจ. กสิกรไทย คาดว่าจะลงทุนในเบื้องต้น ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัทเอกชนชั้นนำด้านการให้บริการสินเชื่อเพื่อรายย่อย ขนส่งและ โลจิสติกส์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาทิ หุ้นกู้ของ บมจ. อีซี่บาย ซึ่งค้ำประกันโดยบริษัท เอคอม จำกัด หุ้นกู้ของ บมจ. ทางด่วนกรุงเทพ บมจ. ศุภาลัย และ บมจ. เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลอปเม้นท์ ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2552 ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดย ทริส เรทติ้ง ที่ AA / A- / A- / BBB + ตามลำดับ และหุ้นกู้ของ บมจ. สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์ ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดย ฟิทช์ เรตติ้ง (ประเทศไทย) ที่ BBB+ เป็นต้น
ส่วนการจ่ายผลตอบแทนของกองทุนนี้ จะทำการจ่ายผลตอบแทนทุก 6 เดือน โดยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Automatic Redemption) ซึ่งบริษัทจะแจ้งกำหนดรับซื้อคืนอัตโนมัติแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอีกครั้งเมื่อมีการลงทุนแล้ว นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังสามารถเลือกรับผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องผ่านการโอนเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) เพื่อลงทุนต่อและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง และให้โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าเงินฝากได้อีกด้วย
ด้าน นายอิศรา พุฒตาลศรี ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายจัดการกองทุนผสม บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า นอกจากกองทุนที่ลงทุนหุ้นในประเทศแล้ว บลจ.กสิกรไทยยังมีกองทุนหุ้นที่น่าสนใจ ซึ่งลงทุนในหุ้นต่างประเทศทั่วโลกอย่าง กองทุนเปิดเค โกลบอล อิควิตี้ (K-GLOBE) ซึ่งเป็นกองทุนแบบ Fund of Fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการดีทั่วโลก และนับเป็นกองทุนใช้สำหรับกระจายความเสี่ยงของการลงทุนไม่ให้กระจุกตัวได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ กองทุนยังมีจุดเด่นในการบริหารงานแบบแอคทีพอโลเคชัน ซึ่งจะทำการปรับน้ำหนัการลงทุนให้สอดคล้องกับสถาการณ์เศรษฐกิจมากที่สุด เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
"ตอนนี้เราเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกน่ากำลังฟื้นตัว ซึ่งกองนี้เราจะลงทุนแบบแอคทีฟ และปรับน้ำหนักซึ่งที่ผ่านมาเรามองว่าอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตดีราก็ให้น้ำหนักมากเสมอ แต่ตอนนี้เราทยอยปรับให้ลดน้อยลงแล้ว และเริ่มให้น้ำหนักกับยุโรปและสหรัฐเพิ่มมากขึ้น โดยเราจะมีมุมมองของเราและเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับความต้องการที่จะเข้าลงทุน"นายอิศรากล่าว
นอกจากกองทุนข้างต้นแล้ว บลจ.กสิกรไทยยังมีกองทุนเปิดเค มีน่า หุ้นทุน (K-MENA) ที่น่าจะเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้อีก 1 กองทุน โดยนายธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายจัดการกองทุนตราสารทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า กองทุนนี้ได้เปิดขายมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว แต่เนื่องจากประสบกับปัญหาซัพไพรม์และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่ดีนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน กองทุนนี้จึงกลับมาเป็นทาเลือกที่น่าสนใจอีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันได้มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ประเทศที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนส่วนใหญ่ได้รับอานิสงส์ไปด้วย โดยกองทุนนี้จะเน้นลงทุนกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและอเมริกาเหนือบางประเทศ ซึ่งประเทศในตะวันออกกลางนับเป็นกลุ่มประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันถึง 70% ของโลกและมีแหล่งแก๊ซธรรมชาติถึง 46% ของโลก
นอกจากนี้ ยังเป็นกลุ่มประเทศที่โครงสร้างการเติบโตที่น่าสนใจเหมือนกับจีนและอินเดียเมื่อประมาณ 5-10 ปีที่แล้ว โดยการบริโภคและการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยดูได้จากการลงทุนของภาครัฐในบางประเทศที่สูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท หรือเทียบเท่ากับ 10 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
"อย่างที่บอกว่ามันเป็นกลุ่มที่นักลงทุนยังไม่รู้จักมากนัก ถึงแม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีการเทขายแล้วนำเงินออกไปบ้าง แต่ถ้าในอนาคตประเทศอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตเข้ามาอยู่ในดัชนี MSCI ของประเทศตลาดเกิดใหม่ก็เชื่อว่าเงินจะไหลเข้ามาลงทุนอีก เพราะหากมองราคาหุ้นขณะนี้ยังถือว่าถูกมากที่ P/E ประมาณ 11 เท่า" นายธนวัฒน์กล่าว