บลจ. แมนูไลฟ์ลุยไฟ ส่งกองทุน "แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล" ดอดเก็บหุ้นดี ปันผลสูง ช่วงดัชนีปรับฐาน ระบุมีโอกาสสูงอีก 12-15 เดือนข้างหน้า ดัชนีวิ่งต่ออีก 20% จากเงินไหลเข้า
นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดเสนอขาย “กองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล”ซึ่งเป็นกองทุนรวมหุ้น ที่ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท มีมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท พร้อมเสนอขายครั้งแรก วันที่17-25 สิงหาคม 2552 และจะเปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งในวันที่ 1กันยายนนี้
ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล ถือเป็นการเติมเต็มช่องว่างทางการลงทุนในแก่นักลงทุน ที่ต้องการลงทุนหลักทรัพย์ในไทย หุ้นไทย ดัชนี SET50 รวม 20-25 ตัว จากการคัดสรรของผู้จัดการกองทุน โดยกองทุนดังกล่าวจะมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นเล็ก กลาง และใหญ่ ซึ่งจะเน้นให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูงในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดี โดยให้น้ำหนักการลงทุนถึง 70%ของพอร์ตการลงทุน และอีก 30% เลือกลงทุนในหลักทรัพย์คุณค่า (Value stock)
นายสุขวัฒน์กล่าวว่า ในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 600 จุดต้นๆ ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราเข้าจะลงทุนในตลาดหุ้น โดยเราจะได้ของดีราคาถูกมาเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุน ดังนั้น เราจะต้องมองถึงผลตอบแทนในระยะยาว 12-15 เดือนข้างหน้ามากกว่ามองผลตอบแทนหรือดัชนีในขณะนี้ โดยเรามองว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 750 จุดหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 20%มีความเป็นไปได้สูง
สำหรับกองทุนกองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล มีนโยบายจ่ายปันผลที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้จ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนให้มากที่สุดโดยไม่เกินปีละ 12 ครั้ง ซึ่งเราจะนำรายได้ที่เกิดจากการจ่ายเงินปันผล ผลกำไรจากส่วนต่างของราคา จากบริษัทจดทะเบียน มาจ่ายปันผลคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน
“เราเชื่อมั่นว่าการลงทุนในกองทุนนี้จะเป็นทางเลือกเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น แม้ว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน แต่ก็เป็นโอกาสการลงทุนในระยะยาว โดยเรามองว่าจากการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนและตลาดหุ้นไทย จะทำให้ทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่งผลให้ SET Index น่าจะปรับตัวสูงขึ้นทำ new high ได้ในปีนี้" นายสุขวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากเม็ดเงินที่เริ่มไหลกลับเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย โดยลงทุนในตลาดไทยถึง 36,000 ล้านบาท หรือ 22-23% จากค่า P/E ของไทยที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยทางด้านการเมืองเข้ามากระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนนั้นไม่ได้ถึงปัจจัยทางการเมือง แต่มองถึงอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนที่จะทำการรุกตลาดและจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีกองทุนใหม่ๆออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนประมาณ 2-3 กองทุนด้วยกัน ซึ่งกองทุนใหม่นั้นจะเป็นการกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนทีครอบคลุมมากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากทั้ง 8 กองทุนที่อยู่ โดย ณ วันที่ 31 กรกฏาคม 2552 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (เอยูเอ็ม) ทั้งธุรกิจกองรวมและธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ 4,248.50 ล้านบาทและมีบัญชีลูกค้าอยู่ที่800-900 บัญชี โดยบริษัทวางเป้าอยู่ที่ 1,000-1,200 บัญชีในปีนี้
นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดเสนอขาย “กองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล”ซึ่งเป็นกองทุนรวมหุ้น ที่ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท มีมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท พร้อมเสนอขายครั้งแรก วันที่17-25 สิงหาคม 2552 และจะเปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งในวันที่ 1กันยายนนี้
ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล ถือเป็นการเติมเต็มช่องว่างทางการลงทุนในแก่นักลงทุน ที่ต้องการลงทุนหลักทรัพย์ในไทย หุ้นไทย ดัชนี SET50 รวม 20-25 ตัว จากการคัดสรรของผู้จัดการกองทุน โดยกองทุนดังกล่าวจะมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นเล็ก กลาง และใหญ่ ซึ่งจะเน้นให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูงในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดี โดยให้น้ำหนักการลงทุนถึง 70%ของพอร์ตการลงทุน และอีก 30% เลือกลงทุนในหลักทรัพย์คุณค่า (Value stock)
นายสุขวัฒน์กล่าวว่า ในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 600 จุดต้นๆ ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราเข้าจะลงทุนในตลาดหุ้น โดยเราจะได้ของดีราคาถูกมาเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุน ดังนั้น เราจะต้องมองถึงผลตอบแทนในระยะยาว 12-15 เดือนข้างหน้ามากกว่ามองผลตอบแทนหรือดัชนีในขณะนี้ โดยเรามองว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 750 จุดหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 20%มีความเป็นไปได้สูง
สำหรับกองทุนกองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล มีนโยบายจ่ายปันผลที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้จ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนให้มากที่สุดโดยไม่เกินปีละ 12 ครั้ง ซึ่งเราจะนำรายได้ที่เกิดจากการจ่ายเงินปันผล ผลกำไรจากส่วนต่างของราคา จากบริษัทจดทะเบียน มาจ่ายปันผลคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน
“เราเชื่อมั่นว่าการลงทุนในกองทุนนี้จะเป็นทางเลือกเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น แม้ว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน แต่ก็เป็นโอกาสการลงทุนในระยะยาว โดยเรามองว่าจากการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนและตลาดหุ้นไทย จะทำให้ทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่งผลให้ SET Index น่าจะปรับตัวสูงขึ้นทำ new high ได้ในปีนี้" นายสุขวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากเม็ดเงินที่เริ่มไหลกลับเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย โดยลงทุนในตลาดไทยถึง 36,000 ล้านบาท หรือ 22-23% จากค่า P/E ของไทยที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยทางด้านการเมืองเข้ามากระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนนั้นไม่ได้ถึงปัจจัยทางการเมือง แต่มองถึงอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนที่จะทำการรุกตลาดและจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีกองทุนใหม่ๆออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนประมาณ 2-3 กองทุนด้วยกัน ซึ่งกองทุนใหม่นั้นจะเป็นการกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนทีครอบคลุมมากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากทั้ง 8 กองทุนที่อยู่ โดย ณ วันที่ 31 กรกฏาคม 2552 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (เอยูเอ็ม) ทั้งธุรกิจกองรวมและธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ 4,248.50 ล้านบาทและมีบัญชีลูกค้าอยู่ที่800-900 บัญชี โดยบริษัทวางเป้าอยู่ที่ 1,000-1,200 บัญชีในปีนี้