บลจ.ไทยพาณิชย์ เฟ้นหุ้นกู้เอกชนอายุ 5 ปีคุณภาพดี ตั้งกองทุนมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท เตรียมส่งลุยตลาดปลายเดือนสิงหาคมนี้
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีอายุ 5 ปี มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดยยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาหุ้นกู้เอกชนที่จะนำมาลงทุน เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดไว้ว่าการจะนำหุ้นกู้เอกชนมาจัดตั้งกองทุนรวมได้จะต้องลงทุนในหุ้นกู้เอกชนตั้งแต่ 4 ตัวขึ้นไป
นอกจากนี้ การที่จะจัดหาหุ้นกู้เอกชนที่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน และปิดในช่วงเดียวกันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรตติ้ง) ตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จึงต้องการเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับดี ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่ต้องเกิดความวิตกกังวลในการลงทุนด้วย คาดว่าน่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 4 – 5%ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันหุ้นกู้เอกชนที่พิจารณาอยู่จะมีประมาณ 12 บริษัท อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) RATCH บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เป็นต้น คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ประมาณปลายเดือนสิงหาคมนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทยังอยู่ในระหว่างการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ประมาณ 2 – 3 ชนิด มาจัดทำเป็นกองทุนรวม เพื่อนำมาเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป คาดว่าจะได้ข้อสรุปได้ภายในสัปดาห์หน้า
นางโชติกา กล่าวว่า ส่วนกองทุนหุ้นกู้เอกชนที่มีอายุ 3 ปีจำนวน 3 กองทุนที่มีการเปิดขายในช่วงก่อนหน้านี้ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เฉพาะเจาะจง 17 (SCBSOF17) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เฉพาะเจาะจง 18 (SCBSOF18) มูลค่าโครงการละ 1,500 ล้านบาท กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้เอกชน 3Y (SCBCBF3Y) มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท โดยทั้งสามกองทุนคาดว่าจะสามารถใผ้ผลตอบแทนประมาณ 4.1% ต่อปี พบว่าได้รับความสนใจจจากนักลงทุนเป็นอย่างดีจนขายหน่วยลงทุนได้ครบตามกำหนด
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีอายุ 5 ปี มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดยยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาหุ้นกู้เอกชนที่จะนำมาลงทุน เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดไว้ว่าการจะนำหุ้นกู้เอกชนมาจัดตั้งกองทุนรวมได้จะต้องลงทุนในหุ้นกู้เอกชนตั้งแต่ 4 ตัวขึ้นไป
นอกจากนี้ การที่จะจัดหาหุ้นกู้เอกชนที่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน และปิดในช่วงเดียวกันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรตติ้ง) ตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จึงต้องการเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับดี ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่ต้องเกิดความวิตกกังวลในการลงทุนด้วย คาดว่าน่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 4 – 5%ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันหุ้นกู้เอกชนที่พิจารณาอยู่จะมีประมาณ 12 บริษัท อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) RATCH บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เป็นต้น คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ประมาณปลายเดือนสิงหาคมนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทยังอยู่ในระหว่างการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ประมาณ 2 – 3 ชนิด มาจัดทำเป็นกองทุนรวม เพื่อนำมาเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป คาดว่าจะได้ข้อสรุปได้ภายในสัปดาห์หน้า
นางโชติกา กล่าวว่า ส่วนกองทุนหุ้นกู้เอกชนที่มีอายุ 3 ปีจำนวน 3 กองทุนที่มีการเปิดขายในช่วงก่อนหน้านี้ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เฉพาะเจาะจง 17 (SCBSOF17) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เฉพาะเจาะจง 18 (SCBSOF18) มูลค่าโครงการละ 1,500 ล้านบาท กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้เอกชน 3Y (SCBCBF3Y) มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท โดยทั้งสามกองทุนคาดว่าจะสามารถใผ้ผลตอบแทนประมาณ 4.1% ต่อปี พบว่าได้รับความสนใจจจากนักลงทุนเป็นอย่างดีจนขายหน่วยลงทุนได้ครบตามกำหนด