บลจ.ไทยพาณิชย์เดินหน้าออกกองทุนหุ้น ปรับแผนลดวงเงินเหลือ 5,300 ล้านบาทจากเดิม 10,000 ล้านบาท ประเดิม 2 กองแรก ไอพีโอ20 – 27 ก.ค.นี้ ล็อกเงินไว้อายุ 3 ปี คาดให้ยิลด์ 4.1% ต่อปี พร้อมเตรียมแผนส่งกองทุนอายุ 5 ปี ชนพันธบัตรไทยเข้มแข็ง ชูผลตอบแทน 4-5%
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับเปลี่ยนแผนในการออกกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เฉพาะเจาะจง (SCBGCORP) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดีในประเทศ จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถเปิดขาย 4 กองทุน และมีมูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท โดยจะออกมาได้เพียง 3 กองทุนเท่านั้น และมีมูลค่าโครงการเพียง 5,300 ล้านบาท
ส่วนแผนงานดังกล่าว จะเป็นการออกกองทุนมาพร้อมกัน 2 กองทุน มูลค่าโครงการละ 1,500 ล้านบาท โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ระดับ A- ขึ้นไป โดยจะเป็นกองทุนแบบปิดที่มีอายุประมาณ 3 ปี โดยคาดว่าจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ได้ในระหว่างวันที่ 20 – 27 กรกฎาคม 2552 และมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท
ส่วนที่เหลือจะเป็นกองทุนที่มีมูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท ซึ่งมีนโยบายในการลงทุนเหมือนกันกัน และจะเปิดขายหน่วยลงทุนระหว่างระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2552 โดยทั้งสามกองทุนคาดว่าจะสามารถใผ้ผลตอบแทนประมาณ 4.1% ต่อปี
นางโชติกา กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุประมาณ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นกู้อายุประมาณ 3 ปีเล็กน้อย แต่จะมีอันดับความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า ส่วนที่เน้นออกกองทุนหุ้นกู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่จะออกหุ้นกู้อายุดังกล่าว และมองว่าภาวะเศรษฐกิจคงไม่ฟื้นตัวอย่างฉับพลัน และอัตราดอกเบี้ยจะไม่น่าปรับขึ้นไปถึงระดับ 4% ต่อปีได้ภายในระยะเวลาเพียง 3 – 5 ปี
อย่างไรก็ตาม กองทุนในกลุ่มดังกล่าวในเบื้องต้นจะมีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดจำนวนของกองทุนที่จะออกมาแต่อย่างใด ขณะที่หุ้นกู้เอกชนที่ดูอยู่จะมีประมาณ 12 บริษัท อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
สาเหตุที่บริษัทจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จึงต้องการเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับดี ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่ต้องเกิดความวิตกกังวลในการลงทุนด้วย คาดว่าน่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 4 – 5% ต่อปี และจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2552 และกองทุนทั้งหมดที่ออกมา เพื่อรองรับนักลงทุนที่พลาดหวังจากการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งด้วย
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับเปลี่ยนแผนในการออกกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เฉพาะเจาะจง (SCBGCORP) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดีในประเทศ จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถเปิดขาย 4 กองทุน และมีมูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท โดยจะออกมาได้เพียง 3 กองทุนเท่านั้น และมีมูลค่าโครงการเพียง 5,300 ล้านบาท
ส่วนแผนงานดังกล่าว จะเป็นการออกกองทุนมาพร้อมกัน 2 กองทุน มูลค่าโครงการละ 1,500 ล้านบาท โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ระดับ A- ขึ้นไป โดยจะเป็นกองทุนแบบปิดที่มีอายุประมาณ 3 ปี โดยคาดว่าจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ได้ในระหว่างวันที่ 20 – 27 กรกฎาคม 2552 และมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท
ส่วนที่เหลือจะเป็นกองทุนที่มีมูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท ซึ่งมีนโยบายในการลงทุนเหมือนกันกัน และจะเปิดขายหน่วยลงทุนระหว่างระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2552 โดยทั้งสามกองทุนคาดว่าจะสามารถใผ้ผลตอบแทนประมาณ 4.1% ต่อปี
นางโชติกา กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุประมาณ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นกู้อายุประมาณ 3 ปีเล็กน้อย แต่จะมีอันดับความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า ส่วนที่เน้นออกกองทุนหุ้นกู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่จะออกหุ้นกู้อายุดังกล่าว และมองว่าภาวะเศรษฐกิจคงไม่ฟื้นตัวอย่างฉับพลัน และอัตราดอกเบี้ยจะไม่น่าปรับขึ้นไปถึงระดับ 4% ต่อปีได้ภายในระยะเวลาเพียง 3 – 5 ปี
อย่างไรก็ตาม กองทุนในกลุ่มดังกล่าวในเบื้องต้นจะมีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดจำนวนของกองทุนที่จะออกมาแต่อย่างใด ขณะที่หุ้นกู้เอกชนที่ดูอยู่จะมีประมาณ 12 บริษัท อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
สาเหตุที่บริษัทจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จึงต้องการเน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับดี ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่ต้องเกิดความวิตกกังวลในการลงทุนด้วย คาดว่าน่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 4 – 5% ต่อปี และจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2552 และกองทุนทั้งหมดที่ออกมา เพื่อรองรับนักลงทุนที่พลาดหวังจากการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งด้วย