บลจ.ยูโอบี ปิดยอดขาย "ยูโอบี ซูเปอร์ สไตรค์ 2" กว่า 85 ล้านบาท ระบุน่าพอใจ ระดมทุนได้สูงกว่าเดิม ส่วนกอง 3 ต้องรอผลตอบรับจากลูกค้า หากมีดีมานด์ พร้อมเข็นกองใหม่ทันที พร้อมเผยแผนกองตราสารหนี้ เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 2 (UOBSS2) ที่เปิดขายก่อนหน้านี้ ได้รับการตอบรับดีพอสมควร โดยภายหลังจากปิดขายช่วงไอพีโอ สามารถระดมทุนได้ประมาณ 85 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนนี้ มีอายุโครงการ 2 ปี เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดหุ้นภายในประเทศ โดยมีเงื่อนไขการยกเลิกกองทุนก่อนครบกำหนด และนักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนขั้นต่ำ 10% ภายในปีแรกหรือ 20% ภายในปีที่ 2 หากมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
"ผลการระดมทุนครั้งนี้ นับว่าพอใช้ได้ เนื่องจากกองทุนแรกในซีรีส์เดียวกันสามารถระดมทุนได้เพียง 24 ล้านบาท หากเปรียบเทียบกับกองทุนนี้ นับว่ามูลค่าสินทรัพย์ปรับขึ้นมาพอสมควร แต่บริษัทไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์กองทุนเป็นพิเศษ โดยจะให้ผลงานของกองทุนเป็นเครื่องพิสูจน์ และความไว้วางใจของลูกค้าที่จะเข้าลงทุนมากกว่า"นายวนากล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าในช่วงไตรมาส 3 ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงมา เพื่อเป็นการสร้างฐานก่อนที่จะปรับตัวขึ้นไปอีกครั้ง โดยกองทุนนี้จะเข้าไปทยอยสะสมหุ้น ส่วนการที่ออกกองทุนมาในช่วงไตรมาส 3 อาจจะต้องอาศัยการเข้าไปดูจังหวะโอกาส แต่จะไม่เข้าไปลงทุนรวดเดียว 100% โดยจะทยอยเข้าไปลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง และไม่ได้ตั้งเป้าหมายทำกำไรเพียงครั้งเดียวที่ 10% เลย โดยจะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลการลงทุนอย่างใกล้ชิด
นายวนา กล่าวว่า กองทุนนี้จะเน้นลงทุนหุ้นในประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดีไม่เกิน 20 ตัว ส่วนการจะออกกองทุนประเภทนี้มาอีกหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับผลตอบรับของลูกค้าเป็นสำคัญ หากลูกค้าให้ความสนใจกองทุนนี้ค่อนข้างมาก บริษัทอาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้กองทุนนี้สร้างผลตอบแทนจนได้ตามเป้าหมายแล้วถึงออกกองทุนที่ 3 ออกมาก็ได้
ส่วนกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชน บริษัทไม่ได้ให้ความสนใจออกมาในช่วงที่เหลือของปีนี้แต่อย่างใด โดยจะรอดูสถานการณ์อีกครั้งในปีหน้า แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนขอบเขตการลงทุนใหม่ตามสถานการณ์ในแต่ละช่วงด้วย ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ บริษัทจะเน้นลงทุนเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลเท่านั้น และจะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรตติ้ง) ตั้งแต่ระดับ AA ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศใหม่ โดยหันมาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ AA- ขึ้นไปก็ได้ แต่ต้องดูเป็นรายประเทศไป ว่ามีสถานการณ์ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ ส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางยังพิจารณาอยู่เช่นกัน แต่ยังไม่ได้มีการตัดสินใจลงทุนแต่อย่างใด
ขณะที่กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นในประเทศภูมิภาคเอเชีย จะเลือกลงทุนในอุตสาหกรรม ประเทศ และภูมิภาคที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2552 นี้