คอลัมน์ Design Your Life by Mutual Fund
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
โทร.02-657-5757
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายๆท่านคงมีความฝันที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะได้เป็นนายของตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ รายได้ที่ได้มาก็ไม่ต้องแบ่งใคร อาจจะมีต้องจ่ายให้ลูกจ้างบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับรายได้ และการมีธุรกิจเป็นของตัวเองก็น่าจะสร้างความร่ำรวยให้กับตัวท่านได้อย่างมาก
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองครับ แต่เนื่องด้วยธุรกิจส่วนตัวที่ผมต้องการทำ ต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก จึงไม่สามารถทำมันได้ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม การได้เข้ามาทำงานในธุรกิจกองทุนรวม และลงทุนในกองทุน ทำให้ผมได้พบว่า การให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม เป็นทางเลือกในการเป็นเจ้าของกิจการที่ผ่านการคัดเลือกโดยทีมงานมืออาชีพ โดยเสียค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการสร้างรายได้ในระยะยาว
ทำไมผลจึงบอกว่าการลงทุนในกองทุนรวมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง? แต่ก่อน ผมเคยมองแต่ความสำเร็จจากการทำธุรกิจ แต่เมื่อได้อยู่ในธุรกิจกองทุนรวม ซึ่งต้องทำการวิเคราะห์ธุรกิจหลายประเภท จึงได้เห็นว่า แม้แต่ธุรกิจที่บริหารงานโดยมืออาชีพ และมีประสบการณ์ยาวนาน ก็ยังอาจพลาดพลั้งได้ ผมจึงลองมาทบทวนดูว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเองกับการมีธุรกิจโดยการลงทุนผ่านกองทุนรวมแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
การทำธุรกิจของตัวเอง สิ่งแรกที่ต้องมีคือเงินทุนจำนวนมาก ในขณะที่ ผมมีเงินเพียง 2 พันบาท ก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมได้แล้ว และนอกจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนแล้ว ก็ต้องมีเงินทุนหมุนเวียน ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง (ถ้ามี) ค่าจ้างคนงาน การทำบัญชีและควบคุมค่าใช้จ่าย การจ่ายภาษี ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม ต่างๆ (ถ้ามี) ฯลฯ และนอกจากมีเงินทุนแล้ว ผมต้องมีความเข้าใจในการทำธุรกิจนั้นๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการศึกษาเป็นเวลานาน และเมื่อศึกษาจนละเอียดแล้ว อาจจะพบว่า ไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนก็เป็นได้ ในขณะที่การลงทุนในกองทุนหุ้นผ่านกองทุนรวม มีทีมงานมืออาชีพคอยคัดสรรธุรกิจที่ดี และมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว เพื่อทำการลงทุน การที่กองทุนรวมทำการลงทุนในหุ้น ก็เปรียบเสมือนกับการเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการ และกิจการนั้นๆ ก็ถูกบริหารโดยนักบริหารมืออาชีพ ที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่าผมหลายเท่า หรือคิดง่ายๆก็คือ จากเงินลงทุน 2 พันบาท เงินผมจะถูกหักไปประมาณ 2% ต่อปี (ประมาณ 40 บาท) เพื่อเป็นค่าธรรมเนียม ผมสามารถมีทีมงานมืออาชีพคัดเลือกธุรกิจที่เหมาะสมที่จะลงทุน (ซึ่งดีกว่าที่ผมจะคิดคนเดียวว่าควรลงทุนในธุรกิจอะไร) และมีทีมงานมืออาชีพคอยบริหารธุรกิจที่ทางกองทุนเข้าไปลงทุน (ซึ่งน่าจะดีกว่าการที่ผมบริหารเอง หรือต้องเสียเงินจ้างทีมบริหาร)
สมมุติว่า ผมพบว่าธุรกิจที่ผมต้องการทำ คุ้มค่าที่จะลงทุน ผมก็ต้องมาคำนวณอีกว่า จะต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใดที่จะได้ทุนคืน และเงินทุนหมุนเวียนจะเพียงพอต่อการชำระเงินกู้ยืมหรือไม่ ซึ่งหากในเวลาต่อมา ปรากฏว่าธุรกิจที่ผมทำ ไม่ประสบความสำเร็จดังที่คิด แทนที่ผมจะมีกำไรจากการทำธุรกิจ ก็อาจกลายเป็นต้องมีหนี้สิน นอกจากนี้ การลงทุนทำธุรกิจแต่ละครั้ง ผมคงสามารถทำได้เพียงทีละธุรกิจเดียวเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเอื้ออำนวยหรือไม่ ผมก็ต้องอยู่กับธุรกิจนั้นต่อไปอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เว้นเสียแต่ว่า ผมจะสามารถเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นๆได้ เมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวม ประเภทกองทุนหุ้น ผมสามารถได้กำไรหรือขาดทุนตั้งแต่วันแรกที่ลงทุน (ในขณะที่การลงทุนในธุรกิจส่วนตัว เงินของผมจะหายไปตั้งแต่วันแรก และต้องลุ้นต่อไปว่าธุรกิจของผมจะรอดหรือไม่) และกองทุนรวมมีการลงทุนกระจายไปในหลากหลายธุรกิจ หากทางกองทุนพบว่าธุรกิจที่ลงทุนไม่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น หรือคุณภาพของบริษัทเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี ก็อาจขายหุ้นตัวนั้นออกไป จึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยกว่าการประกอบธุรกิจเพียงประเภทเดียว และมีสภาพคล่องมากกว่า เพราะกองทุนรวมสามารถทำการซื้อขายหุ้นได้ตลอดเวลา
ดังนั้น การเป็นเจ้าของกิจการโดยการลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทกองทุนหุ้น อย่างมากผมก็ขาดทุนจากการลงทุน แต่ไม่ถึงขึ้นที่จะต้องเป็นหนี้ อย่างเช่นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา หากผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ผมก็อาจมีความเสี่ยงที่ธุรกิจของผมจะขาดทุนหรืออาจจะต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อนำเงินมาพยุงธุรกิจ หรืออาจจำเป็นจะต้องเลิกกิจการเนื่องจากไม่สามารถรับภาระขาดทุนไหว และผมคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่การปรับตัวลงของราคาหุ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ กลับเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน เพราะได้ลงทุนในบริษัทที่ดีและมีราคาถูกกว่าปกติ ที่ผ่านการคัดสรรจากทีมผู้จัดการกองทุน แต่หากผมไม่มีเงินเหลือที่จะลงทุนเพิ่ม และไม่กล้าที่จะเสี่ยงลงทุนในกิจการใดๆในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ผมก็สามารถย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ได้ ซึ่งก็คือการไปเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกมาจากทีมงานมืออาชีพแล้วว่า เป็นบริษัทที่มีความมั่นคง และสามารถจ่ายหนี้คืนได้
จะเห็นได้ว่า การให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมมีข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินทุนสูง ไม่ต้องศึกษาประเภทธุรกิจมาก ไม่ต้องบริหารธุรกิจเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีหนี้สิน ซึ่งหากผมมีเงินมากพอ และนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม ผมสามารถที่จะมีชีวิตอิสระได้มากกว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูแลธุรกิจ อยากไปเที่ยวพักผ่อนเมื่อไหร่ก็ไปได้โดยไม่ต้องกังวล เพราะผมมั่นใจว่าผมได้จ้างทีมงานมืออาชีพบริหารการลงทุนแทนผม และคอยเผ้าติดตามผลการลงทุนแทนผมตลอดเวลา ถึงแม้อาจจะขาดทุนบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็คงไม่ถึงกับหมดตัว และสามารถย้ายเงินลงทุนได้ง่ายกว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ ผลตอบแทนการลงทุน ก็ไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย (เป็นเจ้าของกิจการที่ดี และได้เงินภาษีคืน)
ท่านผู้อ่านบางท่าน อาจจะมองว่า การลงทุนในกองทุนรวมประเภทกองทุนหุ้น บางครั้งอาจให้ผลตอบแทนไม่มาก ทำให้รวยช้า ในความเป็นจริงแล้ว การมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าในการสร้างความร่ำรวย เพราะกว่าการลงทุนของท่านจะได้ทุนคืน อาจต้องใช้เวลา 5 – 10 ปี สำหรับการลงทุนในหุ้น ท่านผู้อ่านอาจจะเห็นว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่เกือบ 600 จุด หรือคิดเป็นเพียงเกือบ 6 เท่าจากจุดเริ่มต้นที่ 100 จุดเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ในความเป็นจริง นอกจากมูลค่าการลงทุนของท่านผู้อ่านจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์แล้ว ท่านผู้อ่านยังได้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลด้วย ซึ่งผมได้ลองทำการคำนวณผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่เปิดตลาดจนถึงสิ้นปีที่แล้ว โดยใช้ข้อมูลเท่าที่พอหาได้ ปรากฏว่าได้ผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 22 เท่า หรือคิดเป็นเกือบ 10% ต่อปี (คิดแบบทบต้น)
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนหุ้นที่ผมกล่าวมานี้ เป็นการลงทุนในกองทุนหุ้นที่บริหารงานแบบ active management ซึ่งผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่ในการคัดสรรหุ้นที่มีคุณภาพ เพื่อทำการลงทุน และเลือกจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตัวเปรียบเทียบ (benchmark) แต่ก็มีโอกาสที่ผู้จัดการกองทุนจะผิดพลาดได้เช่นกัน ซึ่งจะแตกต่างจากกองทุนหุ้นที่บริหารงานแบบ passive management ที่ผู้จัดการกองทุนจะทำการลงทุนในหุ้นตามตัวเปรียบเทียบ เช่น กองทุน SET50 ก็มักจะทำการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 ทั้งหมด โดยอาจไม่มีการคัดเลือกหุ้นแต่อย่างใด หรืออาจจะมีการคัดเลือกหุ้นที่ไม่ดีออกไปบ้าง แต่ผลตอบแทนควรใกล้เคียงกับดัชนี SET50
...ท้ายนี้ ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะพอเห็นแนวทางว่า การให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมมีข้อดีอย่างไร และแตกต่างจากการมีธุรกิจเป็นของตัวเองอย่างไร อย่างไรก็ดี การลงทุนมีความเสี่ยง ท่านผู้อ่านควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน หรืออาจสอบถามข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือที่ปรึกษาการลงทุนก็ได้ครับ
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
โทร.02-657-5757
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายๆท่านคงมีความฝันที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะได้เป็นนายของตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ รายได้ที่ได้มาก็ไม่ต้องแบ่งใคร อาจจะมีต้องจ่ายให้ลูกจ้างบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับรายได้ และการมีธุรกิจเป็นของตัวเองก็น่าจะสร้างความร่ำรวยให้กับตัวท่านได้อย่างมาก
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองครับ แต่เนื่องด้วยธุรกิจส่วนตัวที่ผมต้องการทำ ต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก จึงไม่สามารถทำมันได้ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม การได้เข้ามาทำงานในธุรกิจกองทุนรวม และลงทุนในกองทุน ทำให้ผมได้พบว่า การให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม เป็นทางเลือกในการเป็นเจ้าของกิจการที่ผ่านการคัดเลือกโดยทีมงานมืออาชีพ โดยเสียค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการสร้างรายได้ในระยะยาว
ทำไมผลจึงบอกว่าการลงทุนในกองทุนรวมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง? แต่ก่อน ผมเคยมองแต่ความสำเร็จจากการทำธุรกิจ แต่เมื่อได้อยู่ในธุรกิจกองทุนรวม ซึ่งต้องทำการวิเคราะห์ธุรกิจหลายประเภท จึงได้เห็นว่า แม้แต่ธุรกิจที่บริหารงานโดยมืออาชีพ และมีประสบการณ์ยาวนาน ก็ยังอาจพลาดพลั้งได้ ผมจึงลองมาทบทวนดูว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเองกับการมีธุรกิจโดยการลงทุนผ่านกองทุนรวมแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
การทำธุรกิจของตัวเอง สิ่งแรกที่ต้องมีคือเงินทุนจำนวนมาก ในขณะที่ ผมมีเงินเพียง 2 พันบาท ก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมได้แล้ว และนอกจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนแล้ว ก็ต้องมีเงินทุนหมุนเวียน ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง (ถ้ามี) ค่าจ้างคนงาน การทำบัญชีและควบคุมค่าใช้จ่าย การจ่ายภาษี ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม ต่างๆ (ถ้ามี) ฯลฯ และนอกจากมีเงินทุนแล้ว ผมต้องมีความเข้าใจในการทำธุรกิจนั้นๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการศึกษาเป็นเวลานาน และเมื่อศึกษาจนละเอียดแล้ว อาจจะพบว่า ไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนก็เป็นได้ ในขณะที่การลงทุนในกองทุนหุ้นผ่านกองทุนรวม มีทีมงานมืออาชีพคอยคัดสรรธุรกิจที่ดี และมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว เพื่อทำการลงทุน การที่กองทุนรวมทำการลงทุนในหุ้น ก็เปรียบเสมือนกับการเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการ และกิจการนั้นๆ ก็ถูกบริหารโดยนักบริหารมืออาชีพ ที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่าผมหลายเท่า หรือคิดง่ายๆก็คือ จากเงินลงทุน 2 พันบาท เงินผมจะถูกหักไปประมาณ 2% ต่อปี (ประมาณ 40 บาท) เพื่อเป็นค่าธรรมเนียม ผมสามารถมีทีมงานมืออาชีพคัดเลือกธุรกิจที่เหมาะสมที่จะลงทุน (ซึ่งดีกว่าที่ผมจะคิดคนเดียวว่าควรลงทุนในธุรกิจอะไร) และมีทีมงานมืออาชีพคอยบริหารธุรกิจที่ทางกองทุนเข้าไปลงทุน (ซึ่งน่าจะดีกว่าการที่ผมบริหารเอง หรือต้องเสียเงินจ้างทีมบริหาร)
สมมุติว่า ผมพบว่าธุรกิจที่ผมต้องการทำ คุ้มค่าที่จะลงทุน ผมก็ต้องมาคำนวณอีกว่า จะต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใดที่จะได้ทุนคืน และเงินทุนหมุนเวียนจะเพียงพอต่อการชำระเงินกู้ยืมหรือไม่ ซึ่งหากในเวลาต่อมา ปรากฏว่าธุรกิจที่ผมทำ ไม่ประสบความสำเร็จดังที่คิด แทนที่ผมจะมีกำไรจากการทำธุรกิจ ก็อาจกลายเป็นต้องมีหนี้สิน นอกจากนี้ การลงทุนทำธุรกิจแต่ละครั้ง ผมคงสามารถทำได้เพียงทีละธุรกิจเดียวเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเอื้ออำนวยหรือไม่ ผมก็ต้องอยู่กับธุรกิจนั้นต่อไปอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เว้นเสียแต่ว่า ผมจะสามารถเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นๆได้ เมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวม ประเภทกองทุนหุ้น ผมสามารถได้กำไรหรือขาดทุนตั้งแต่วันแรกที่ลงทุน (ในขณะที่การลงทุนในธุรกิจส่วนตัว เงินของผมจะหายไปตั้งแต่วันแรก และต้องลุ้นต่อไปว่าธุรกิจของผมจะรอดหรือไม่) และกองทุนรวมมีการลงทุนกระจายไปในหลากหลายธุรกิจ หากทางกองทุนพบว่าธุรกิจที่ลงทุนไม่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น หรือคุณภาพของบริษัทเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี ก็อาจขายหุ้นตัวนั้นออกไป จึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยกว่าการประกอบธุรกิจเพียงประเภทเดียว และมีสภาพคล่องมากกว่า เพราะกองทุนรวมสามารถทำการซื้อขายหุ้นได้ตลอดเวลา
ดังนั้น การเป็นเจ้าของกิจการโดยการลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทกองทุนหุ้น อย่างมากผมก็ขาดทุนจากการลงทุน แต่ไม่ถึงขึ้นที่จะต้องเป็นหนี้ อย่างเช่นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา หากผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ผมก็อาจมีความเสี่ยงที่ธุรกิจของผมจะขาดทุนหรืออาจจะต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อนำเงินมาพยุงธุรกิจ หรืออาจจำเป็นจะต้องเลิกกิจการเนื่องจากไม่สามารถรับภาระขาดทุนไหว และผมคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่การปรับตัวลงของราคาหุ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ กลับเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน เพราะได้ลงทุนในบริษัทที่ดีและมีราคาถูกกว่าปกติ ที่ผ่านการคัดสรรจากทีมผู้จัดการกองทุน แต่หากผมไม่มีเงินเหลือที่จะลงทุนเพิ่ม และไม่กล้าที่จะเสี่ยงลงทุนในกิจการใดๆในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ผมก็สามารถย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ได้ ซึ่งก็คือการไปเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกมาจากทีมงานมืออาชีพแล้วว่า เป็นบริษัทที่มีความมั่นคง และสามารถจ่ายหนี้คืนได้
จะเห็นได้ว่า การให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมมีข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินทุนสูง ไม่ต้องศึกษาประเภทธุรกิจมาก ไม่ต้องบริหารธุรกิจเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีหนี้สิน ซึ่งหากผมมีเงินมากพอ และนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม ผมสามารถที่จะมีชีวิตอิสระได้มากกว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูแลธุรกิจ อยากไปเที่ยวพักผ่อนเมื่อไหร่ก็ไปได้โดยไม่ต้องกังวล เพราะผมมั่นใจว่าผมได้จ้างทีมงานมืออาชีพบริหารการลงทุนแทนผม และคอยเผ้าติดตามผลการลงทุนแทนผมตลอดเวลา ถึงแม้อาจจะขาดทุนบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็คงไม่ถึงกับหมดตัว และสามารถย้ายเงินลงทุนได้ง่ายกว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ ผลตอบแทนการลงทุน ก็ไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย (เป็นเจ้าของกิจการที่ดี และได้เงินภาษีคืน)
ท่านผู้อ่านบางท่าน อาจจะมองว่า การลงทุนในกองทุนรวมประเภทกองทุนหุ้น บางครั้งอาจให้ผลตอบแทนไม่มาก ทำให้รวยช้า ในความเป็นจริงแล้ว การมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าในการสร้างความร่ำรวย เพราะกว่าการลงทุนของท่านจะได้ทุนคืน อาจต้องใช้เวลา 5 – 10 ปี สำหรับการลงทุนในหุ้น ท่านผู้อ่านอาจจะเห็นว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่เกือบ 600 จุด หรือคิดเป็นเพียงเกือบ 6 เท่าจากจุดเริ่มต้นที่ 100 จุดเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ในความเป็นจริง นอกจากมูลค่าการลงทุนของท่านผู้อ่านจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์แล้ว ท่านผู้อ่านยังได้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลด้วย ซึ่งผมได้ลองทำการคำนวณผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่เปิดตลาดจนถึงสิ้นปีที่แล้ว โดยใช้ข้อมูลเท่าที่พอหาได้ ปรากฏว่าได้ผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 22 เท่า หรือคิดเป็นเกือบ 10% ต่อปี (คิดแบบทบต้น)
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนหุ้นที่ผมกล่าวมานี้ เป็นการลงทุนในกองทุนหุ้นที่บริหารงานแบบ active management ซึ่งผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่ในการคัดสรรหุ้นที่มีคุณภาพ เพื่อทำการลงทุน และเลือกจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตัวเปรียบเทียบ (benchmark) แต่ก็มีโอกาสที่ผู้จัดการกองทุนจะผิดพลาดได้เช่นกัน ซึ่งจะแตกต่างจากกองทุนหุ้นที่บริหารงานแบบ passive management ที่ผู้จัดการกองทุนจะทำการลงทุนในหุ้นตามตัวเปรียบเทียบ เช่น กองทุน SET50 ก็มักจะทำการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 ทั้งหมด โดยอาจไม่มีการคัดเลือกหุ้นแต่อย่างใด หรืออาจจะมีการคัดเลือกหุ้นที่ไม่ดีออกไปบ้าง แต่ผลตอบแทนควรใกล้เคียงกับดัชนี SET50
...ท้ายนี้ ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะพอเห็นแนวทางว่า การให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมมีข้อดีอย่างไร และแตกต่างจากการมีธุรกิจเป็นของตัวเองอย่างไร อย่างไรก็ดี การลงทุนมีความเสี่ยง ท่านผู้อ่านควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน หรืออาจสอบถามข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือที่ปรึกษาการลงทุนก็ได้ครับ