แอสเซท พลัส เชื่อผลตอบแทนพันธบัตรไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ไตรมาส หลังตลาดตราสารหนี้ลดความผันผวนลง แนะนักลงทุน เพิ่มสัดส่วนลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้น รอจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมเปิดขาย IPO กองทุนตราสารหนี้ไทย-เทศ ตั้งแต่วันนี้ถึง 29 ก.ค.นี้
นาย วิน อุดมรัชตวนิชย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แม้ว่าปัจจุบันตลาดตราสารหนี้จะมีความผันผวนลดลง และแรงกดดันจากความกังวลกับปริมาณพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่น่าจะต่ำสุดอยู่ที่ระดับปัจจุบัน (1.25%) ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรไทยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในช่วงต่อไป
สำหรับการลงทุนของผู้ลงทุนทั่วไป นายวิน มีความเห็นว่า ควรเพิ่มสัดส่วนเงินฝาก หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี เพื่อรอจังหวะการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เมื่ออัตราผลตอบแทนมีการปรับเพิ่มขึ้นมาถึงระดับที่น่าสนใจ ในอีกช่วง 2 ถึง 3 ไตรมาสที่จะถึง แต่สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุนในพันธบัตรในช่วงนี้ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจจากอัตราผล ตอบแทนที่ยังอยู่ในระดับสูง
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาด บลจ. แอสเซท พลัส กล่าวว่า การที่รัฐบาลโดยเปิดเสนอขายพันธบัตรช่วยชาติซึ่งปริมาณพันธบัตรยังคงไม่เพียงพอกับความต้องการ ของนักลงทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงแสวงหาช่องทางการลงทุน ที่มีระดับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน
นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบลจ.แอสเซท พลัสนั้น ได้นำเสนอกองทุนที่มีนโยบายแตกต่างกัน เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุน โดยกองทุนแรกเป็นกองทุนที่เปิดเสนอขาย IPO ได้แก่ กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 6 (ACFIF6) สำหรับรอบการลงทุนแรก จะลงทุนโดย ตรงในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ (Korea Monetary Stabilization Bond (MSB)) อายุประมาณ 1 ปี เสนอขาย IPO
ระหว่างวันที่ 20-29 ก.ค. 2552 นี้ โดยกองทุน ACFIF6 โดยคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนหลังจากทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวนและหัก
ค่าใช้จ่ายกองทุนแล้ว อยู่ที่ประมาณ 3.00% ต่อปี
นอกจากนี้ สำหรับผู้ต้องการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพในประเทศ กองทุนเปิดพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 3M1 (GBF-3M1) จะเปิด ขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ โดยจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย 100% อายุ 3 เดือน คาดสามารถให้ผลตอบแทนที่ 0.80% และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวี เงินออม 1 (ASP-MMF1) เน้นลงทุนในตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ของธนาคารและสถาบันการเงิน อายุ 3 เดือน คาดสามารถให้ผลตอบแทนที่ 1.15%ต่อปี
นาย วิน อุดมรัชตวนิชย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แม้ว่าปัจจุบันตลาดตราสารหนี้จะมีความผันผวนลดลง และแรงกดดันจากความกังวลกับปริมาณพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่น่าจะต่ำสุดอยู่ที่ระดับปัจจุบัน (1.25%) ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรไทยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในช่วงต่อไป
สำหรับการลงทุนของผู้ลงทุนทั่วไป นายวิน มีความเห็นว่า ควรเพิ่มสัดส่วนเงินฝาก หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี เพื่อรอจังหวะการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เมื่ออัตราผลตอบแทนมีการปรับเพิ่มขึ้นมาถึงระดับที่น่าสนใจ ในอีกช่วง 2 ถึง 3 ไตรมาสที่จะถึง แต่สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุนในพันธบัตรในช่วงนี้ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจจากอัตราผล ตอบแทนที่ยังอยู่ในระดับสูง
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาด บลจ. แอสเซท พลัส กล่าวว่า การที่รัฐบาลโดยเปิดเสนอขายพันธบัตรช่วยชาติซึ่งปริมาณพันธบัตรยังคงไม่เพียงพอกับความต้องการ ของนักลงทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงแสวงหาช่องทางการลงทุน ที่มีระดับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน
นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบลจ.แอสเซท พลัสนั้น ได้นำเสนอกองทุนที่มีนโยบายแตกต่างกัน เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุน โดยกองทุนแรกเป็นกองทุนที่เปิดเสนอขาย IPO ได้แก่ กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 6 (ACFIF6) สำหรับรอบการลงทุนแรก จะลงทุนโดย ตรงในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ (Korea Monetary Stabilization Bond (MSB)) อายุประมาณ 1 ปี เสนอขาย IPO
ระหว่างวันที่ 20-29 ก.ค. 2552 นี้ โดยกองทุน ACFIF6 โดยคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนหลังจากทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวนและหัก
ค่าใช้จ่ายกองทุนแล้ว อยู่ที่ประมาณ 3.00% ต่อปี
นอกจากนี้ สำหรับผู้ต้องการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพในประเทศ กองทุนเปิดพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 3M1 (GBF-3M1) จะเปิด ขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ โดยจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย 100% อายุ 3 เดือน คาดสามารถให้ผลตอบแทนที่ 0.80% และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวี เงินออม 1 (ASP-MMF1) เน้นลงทุนในตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ของธนาคารและสถาบันการเงิน อายุ 3 เดือน คาดสามารถให้ผลตอบแทนที่ 1.15%ต่อปี