คอลัมน์ ตลาดทุนไทยในสายตาต่างชาติ
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ฟังดูแล้วหลายคนอาจไม่เข้าใจความหมายที่ผมต้องการที่จะสื่อมากนัก แต่คำพูดนี้ น่าจะเข้ากับสถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้ ได้เป็นอย่างดี อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของกราฟราคาทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) ไม่ค่อยจะเคลื่อนตัวไปไหนมากนัก ทำให้หลายต่อหลายคนค่อนข้างทำใจลำบาก เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะขายหุ้น หรือจะยังคงถือไว้ จะเล่นสัญญา Futures ก็ได้ไม่เท่าไหร่ เลยพาลจะหงุดหงิดเอาได้ง่ายๆ
เป้าหมายของการทำกำไรในตลาดหลักทรัพย์ทุกตลาด คือ จะเข้า-ออก ตลาดอย่างไร และเมื่อเข้าไปแล้ว ราคาเป้าหมายอยู่ที่เท่าไหร่ คำตอบนั้นง่ายมาก ทุกครั้งที่ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักเรียนที่เข้ามาอบรมในหลักสูตร “ทำกำไร ในตลาดล่วงหน้า ด้วย Technical Analysis” นั้น (วันเสาร์-อาทิตย์ ที 25 – 26 มิถุนายน 2552 นี้ จะเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว) ผมมักจะบอกกับนักเรียนของผมเสมอว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการ ซื้อ-ขาย (สัญญาล่วงหน้า และหุ้นมากที่สุด คือ ช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มให้เห็นอย่างชัดเจน) เพราะอะไรนะหรือ เพราะว่านิยามของการลงทุนคือ “รายได้หรือผลตอบแทน เมื่อเทียบกับเวลา” ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะลงทุนในสถานการณ์ในเช่นทุกวันนี้ คุณก็อาจจะพบกับความผิดหวังได้ง่ายๆ (ให้พิจารณากราฟดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตามรูปด้านล่าง)
จากรูปด้านบน ผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นถึงลักษณะการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา ที่พอจะจำแนกออกได้เป็น 2 ช่วง กว้างๆ คือ
1.แบบมีแนวโน้ม เป็นช่วงที่เหมาะสมและง่ายต่อการทำกำไรมากที่สุด เนื่องมาจาก การเคลื่อนไหวค่อนข้างเด่นชัด และมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างชัน (ใช้เวลาสั้น มากกว่าช่วงอื่นๆ หากเปลี่ยนเทียบกับราคาที่ปรับสูงขึ้น หรือ ต่ำลง
2.แบบไม่มีแนวโน้ม เป็นช่วงที่ไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะยากที่จะทำกำไร อันเนื่องมาจากต้องซื้อ และขายบ่อยๆ เกินไป หากเปลี่ยนกลยุทธ์ไม่ทัน ก็ยากที่จะทำกำไร เผลอๆ อาจคาดทุนก็เป็นได้ (หลายต่อหลายคน ขาดทุนจากสถานการณ์นี้มาเยอะ)
เปรียบเหมือนกับหัวข้อของวันนี้ ที่ว่า หากเราเห็นคนกำลังยิงธนู หากคนผู้นั้นยังไม่ได้ปล่อยลูกธนูออกไป โดยทั่วไปเราก็ไม่สามารถทราบได้ว่า ธนูลูกนั้น กำลังจะพุ่งตรงไปที่ใด และไกลแค่ไหน (ระยะทางนั้นสามารถคาดเดาได้จาก ระยะในการง้างของสายธนู หากออกแรงง้างมาก ลูกธนูนั้นก็ย่อมที่จะมีโอกาสไปไกลมากเช่นกัน) อะไรบ้าง
ด้วยความบังเอิญที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมของวิทยากร ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการซื้อ-ขาย ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทำให้เคล็ดลับดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา และสามารถพิสูจน์ให้สามารถเห็นจริงได้ หากได้นำหลักการดังกล่าวไปฝึกฝนและปฏิบัติจนเกิดเป็นทักษะ ก็จะทำให้เราในฐานะนักลงทุน สามารถหาสัญญาณในการซื้อ-ขาย ในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้น หรือ ลง อย่างสมบูรณ์ ได้อย่างไม่อยากเย็นนัก
ผมว่าในการลงทุนจริงๆ นักลงทุนหลายต่อหลายคน ได้ลองผิด ลองถูก กันมามากพอแล้ว จากความล้มเหลวของนักลงทุนรุ่นก่อนๆ อันเนื่องมาจาก ความไม่รู้ (ถูกตลาดหลักทรัพย์หลอกเข้ามา) เหมือนล่าสุด มีผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์ ออกมาประกาศว่า หุ้นกลุ่มพลังงานตัวหนึ่งน่าสนใจ ให้เข้าลงทุนได้ (พอประกาสจบปุ๊บ หุ้นดังกล่าวปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและลงเลยในวันถัดไป) ถ้ามองไม่ผิดเหมือนกำลังช่วยใครบางคนระบายหุ้นออกมา อย่างไร อย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อกัน ไม่เป็นไรครับ ลองจับตามองดีๆ สักพักหุ้นดังกล่าวก็ร่วงแล้ว
ลงทุนอย่างมีสติ อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ นะครับ เพราะท้ายที่สุด ตัวเราเองจะต้องเป็นคนรับผลของการลงทุน ไม่ว่าจะขาดทุน หรือกำไรก็ตาม www.technicalday.com
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ฟังดูแล้วหลายคนอาจไม่เข้าใจความหมายที่ผมต้องการที่จะสื่อมากนัก แต่คำพูดนี้ น่าจะเข้ากับสถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้ ได้เป็นอย่างดี อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของกราฟราคาทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) ไม่ค่อยจะเคลื่อนตัวไปไหนมากนัก ทำให้หลายต่อหลายคนค่อนข้างทำใจลำบาก เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะขายหุ้น หรือจะยังคงถือไว้ จะเล่นสัญญา Futures ก็ได้ไม่เท่าไหร่ เลยพาลจะหงุดหงิดเอาได้ง่ายๆ
เป้าหมายของการทำกำไรในตลาดหลักทรัพย์ทุกตลาด คือ จะเข้า-ออก ตลาดอย่างไร และเมื่อเข้าไปแล้ว ราคาเป้าหมายอยู่ที่เท่าไหร่ คำตอบนั้นง่ายมาก ทุกครั้งที่ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักเรียนที่เข้ามาอบรมในหลักสูตร “ทำกำไร ในตลาดล่วงหน้า ด้วย Technical Analysis” นั้น (วันเสาร์-อาทิตย์ ที 25 – 26 มิถุนายน 2552 นี้ จะเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว) ผมมักจะบอกกับนักเรียนของผมเสมอว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการ ซื้อ-ขาย (สัญญาล่วงหน้า และหุ้นมากที่สุด คือ ช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มให้เห็นอย่างชัดเจน) เพราะอะไรนะหรือ เพราะว่านิยามของการลงทุนคือ “รายได้หรือผลตอบแทน เมื่อเทียบกับเวลา” ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะลงทุนในสถานการณ์ในเช่นทุกวันนี้ คุณก็อาจจะพบกับความผิดหวังได้ง่ายๆ (ให้พิจารณากราฟดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตามรูปด้านล่าง)
จากรูปด้านบน ผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นถึงลักษณะการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา ที่พอจะจำแนกออกได้เป็น 2 ช่วง กว้างๆ คือ
1.แบบมีแนวโน้ม เป็นช่วงที่เหมาะสมและง่ายต่อการทำกำไรมากที่สุด เนื่องมาจาก การเคลื่อนไหวค่อนข้างเด่นชัด และมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างชัน (ใช้เวลาสั้น มากกว่าช่วงอื่นๆ หากเปลี่ยนเทียบกับราคาที่ปรับสูงขึ้น หรือ ต่ำลง
2.แบบไม่มีแนวโน้ม เป็นช่วงที่ไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะยากที่จะทำกำไร อันเนื่องมาจากต้องซื้อ และขายบ่อยๆ เกินไป หากเปลี่ยนกลยุทธ์ไม่ทัน ก็ยากที่จะทำกำไร เผลอๆ อาจคาดทุนก็เป็นได้ (หลายต่อหลายคน ขาดทุนจากสถานการณ์นี้มาเยอะ)
เปรียบเหมือนกับหัวข้อของวันนี้ ที่ว่า หากเราเห็นคนกำลังยิงธนู หากคนผู้นั้นยังไม่ได้ปล่อยลูกธนูออกไป โดยทั่วไปเราก็ไม่สามารถทราบได้ว่า ธนูลูกนั้น กำลังจะพุ่งตรงไปที่ใด และไกลแค่ไหน (ระยะทางนั้นสามารถคาดเดาได้จาก ระยะในการง้างของสายธนู หากออกแรงง้างมาก ลูกธนูนั้นก็ย่อมที่จะมีโอกาสไปไกลมากเช่นกัน) อะไรบ้าง
ด้วยความบังเอิญที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมของวิทยากร ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการซื้อ-ขาย ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทำให้เคล็ดลับดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา และสามารถพิสูจน์ให้สามารถเห็นจริงได้ หากได้นำหลักการดังกล่าวไปฝึกฝนและปฏิบัติจนเกิดเป็นทักษะ ก็จะทำให้เราในฐานะนักลงทุน สามารถหาสัญญาณในการซื้อ-ขาย ในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้น หรือ ลง อย่างสมบูรณ์ ได้อย่างไม่อยากเย็นนัก
ผมว่าในการลงทุนจริงๆ นักลงทุนหลายต่อหลายคน ได้ลองผิด ลองถูก กันมามากพอแล้ว จากความล้มเหลวของนักลงทุนรุ่นก่อนๆ อันเนื่องมาจาก ความไม่รู้ (ถูกตลาดหลักทรัพย์หลอกเข้ามา) เหมือนล่าสุด มีผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์ ออกมาประกาศว่า หุ้นกลุ่มพลังงานตัวหนึ่งน่าสนใจ ให้เข้าลงทุนได้ (พอประกาสจบปุ๊บ หุ้นดังกล่าวปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและลงเลยในวันถัดไป) ถ้ามองไม่ผิดเหมือนกำลังช่วยใครบางคนระบายหุ้นออกมา อย่างไร อย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อกัน ไม่เป็นไรครับ ลองจับตามองดีๆ สักพักหุ้นดังกล่าวก็ร่วงแล้ว
ลงทุนอย่างมีสติ อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ นะครับ เพราะท้ายที่สุด ตัวเราเองจะต้องเป็นคนรับผลของการลงทุน ไม่ว่าจะขาดทุน หรือกำไรก็ตาม www.technicalday.com