xs
xsm
sm
md
lg

การฟื้นตัวแบบ "W-shape" ทิศทางการขยายตัวของศก.โลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์กรทางด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 2 หน่วยงานได้แก่ธนาคารโลก (World Bank) และสำนักงานองค์การความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ออกมาประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2552 และปี 2553 โดยมุมมองของ 2 หน่วยงานมีทิศทางที่แตกต่างกันโดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G-3 ซึ่งประกอบไปด้วยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นธนาคารโลกได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเลวร้ายลงกว่าการประเมินก่อนหน้าในเดือน มีนาคม 2552 โดยการประเมินล่าสุดนี้ ธนาคารโลกประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2552 จะหดตัวที่ -2.9% yoy ซึ่งเป็นการหดตัวที่มากกว่าการประเมินครั้งก่อนในเดือน มี.ค. 2552 ซึ่งประเมินที่ระดับ -1.7% yoy

นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังปรับประมาณการณ์ GDP โลกในปี 2553 ขยายตัวที่ 2% ถือว่าเป็นปรับลดอัตราการขยายตัวลงจากการประเมินครั้งก่อนในเดือน มี.ค. 2552 เช่นกันโดยในการประเมินในเดือนมี.ค. 2552 นั้น ธนาคารโลกประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2553 จะขยายตัวที่ 2.3% yoy และในส่วนของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ G-3 นั้น ธนาคารโลกได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2552 ลงจากการประเมินก่อนหน้าในเดือนมี.ค. 2552 ด้วยเช่นกัน

โดยธนาคารโลกประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2552 จะหดตัวที่ - 3.0% yoy (ประเมินครั้งก่อนคาดว่าจะหดตัวที่ -2.4% yoy ) เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปในปี 2552 จะหดตัวที่ - 4.5% yoy (ประเมินครั้งก่อนคาดว่าจะหดตัวที่ -2.7% yoy ) และญี่ปุ่นคาดว่าจะในปี 2552 จะหดตัวที่ -6.8% yoy (ประเมินครั้งก่อนคาดว่าจะหดตัวที่ -5.3% yoy ) ในขณะที่ OECD ได้ปรับเพิ่มประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศชั้นนำ 30 ประเทศ ซึ่งเป็นการปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจในทางบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี

โดย OECD ประเมินว่าเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำ 30 ประเทศที่เป็นสมาชิก OECD จะหดตัวที่ระดับ -4.1% yoy และกลับมาขยายตัว 0.7%yoy ในปี 2553 เทียบกับประมาณการณ์ก่อนหน้านั้นใน เดือน มี.ค. ที่ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2552 จะหดตัว -4.3% yoy ในปี 2552 และ ฟื้นตัว 0.1% yoyในปี 2553 ในกลุ่มประเทศ G-3 นั้น OECD ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2552 จะหดตัวที่ -2.8 % yoy (ประเมินครั้งก่อนคาดว่าจะหดตัวที่ - 4.0%yoy ) เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปในปี 2552 จะหดตัวที่ - 4.8 % yoy (ประเมินครั้งก่อนคาดว่าจะหดตัวที่ - 4.1 % yoy ) มีเพียงญี่ปุ่นประเทศเดียวใน G-3ที่ OECD ประเมินเศรษฐกิจเลวร้ายลงกว่าเดิม โดยในปี 2552 จะหดตัวที่ -6.8 % yoy (ประเมินครั้งก่อนคาดว่าจะหดตัวที่ -6.6 % yoy )

ทั้งนี้สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ประเมินว่า ณ ขณะนี้เศรษฐกิจของโลกเข้าสู่ภาวะเสถียรภาพโดยการเข้าสู่เสถียรภาพนี้หมายความว่า ภาวการณ์ดิ่งลงของเศรษฐกิจที่เริ่มตั้งแต่กลางเดือน ก.ย. 2551 เป็นต้นมานั้นได้เริ่มชะลอตัวลงแล้วตั้งแต่มี.ค. 2552 หลังจากที่เศรษฐกิจโลกหดตัวอย่างรุนแรงในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาและหดตัวต่อเนื่องไปยังไตรมาสแรกของปี 2552 โดยยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2552 จะหดตัวที่ -1.3% yoy อันเป็นระดับเดียวกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์ ณ เม.ย. 2552

อย่างไรก็ตาม ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจโลกนั้นจะยังคงได้รับแรงกดดันในเชิงลบจากปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งจะกระทบต่อศักยภาพและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังระดับการลงทุนและการจ้างงานของบริษัทต่างๆให้ลดลง นอกจากนี้ ความสามารถในการบริโภคของครัวเรือนประเทศกลุ่ม G-3 จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากความมั่งคั่งที่ลดลง (Wealth Effect) อันเป็นผลจากการที่สินทรัพย์ทางการเงินลดค่าลงอย่างมาก และการกลับมาออมเพื่อลดภาระหนี้ที่ขยายตัวในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ก่อนหน้านี้

โดยสรุปเศรษฐกิจโลกในระยะกลางและยาวนั้นมีความสุ่มเสี่ยงที่จะขยายตัวในอัตราที่ต่ำและมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวแบบ W (W -shape)

FED ยังคงมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันประเด็นที่ทั่วโลกให้ตวามสนใจกันมากนั่นคือ ความเคลื่อนไหวของ คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทาง เฟดได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0-0.25% เนื่องจากแถลงการณ์ของเฟดระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯโดยรวมยังคงอ่อนตัวในบางภูมิภาค ขณะที่ภาคเอกชนได้ลดการลงทุนด้านสินทรัพย์คงที่และลดการจ้างงาน ซึ่งเป็นเหตุให้อัตราว่างงานยังคงพุ่งสูงขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและสกัดกั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนอกจากนั้นทางธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงเห็นชอบให้ดำเนินนโยบายฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้านต่อไป อีกทั้งจะยังคงนโยบายกระตุ้นการไหลเวียนสภาพคล่องในตลาดสินเชื่อ รวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่มการรับซื้อตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) อีก 7.50 แสนล้านดอลลาร์

ธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงมีเป้าหมายที่จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง โดย SCRI มองว่าภาพโดยรวมของทิศทางระดับอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯยังคงถือได้ว่ามีแนวโน้มที่จะทรงตัวในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มของภาพรวมทางเศรษฐกิจ ที่ยังคงต้องหวังพึ่งการใช้การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในด้านต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการทางด้าน ยานยนต์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงในด้านของผู้ประกอบการในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังคงต้องเผชิญกับการที่ภาวะยอดขายสินค้า รวมไปถึงระดับราคาสินค้าที่ยังคงมีการชะลอตัวลง ซึ่งทำให้โดยรวมแล้วเป็นปัจจัยลบสำคัญ ที่ส่งผลสืบเนื่องไปสู่ภาพรวมของระดับการชะลอตัวของอัตราการจ้างงานในสหรัฐ

ซึ่งสถาบันวิจัยนครหลวงไทยมองว่าโดยรวมแล้วทางรัฐบาลรวมไปถึงธนาคารกลางของสหรัฐฯ น่าจะมีความกังวลต่อสถานการณ์ในด้านของตลาดการจ้างงานในขณะนี้อย่างมาก เนื่องจากภาคการจ้างงานถือได้ว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปสู่ภาพรวมของระบบเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ถ้ายังคงเป็นการหดตัวของระดับการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแล้ว SCRI จึงคาดว่าทางธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงยังคงน่าจะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือต้นทุนทางการเงิน รวมไปถึงในด้านสนับสนุนสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ให้ยังคงสามารถที่จะประกอบธุรกิจต่อไปได้

โดยที่แนวโน้มในด้านของการจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพื่อควบคุมระดับอัตราเงินเฟ้อ ที่มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง SCRI มองว่ายังคงจะไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ตามคำแถลงการณ์ของ FED ที่ว่า the Fedadmitted energy and other commodity prices have risen recently. But it added inflation will ''remain subdued for some time,'' noting''substantial resources slack'' is likely to dampen cost pressure. (ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาในขณะนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สกัดกั้นเงินเฟ้อได้อีกทางหนึ่ง) ซึ่งโดยรวมแล้วถือได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐฯอย่างชัดเจน ที่จะเลือกเป้าหมายในการกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจ มากกว่าการควบคุมระดับอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต

ซึ่งในมองว่าอย่างน้อยแล้วทางธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% อย่างน้อยไปจนถึงช่วงปลายปี 2552 เพื่อช่วยภาพรวมของเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวอยู่ในระดับมีเสถียรภาพโดยเร็ว

กำลังโหลดความคิดเห็น