xs
xsm
sm
md
lg

มองดัชนีหุ้นไทยเฉลี่ยทั้งปี550จุด ลุ้นทะยานสู่ระดับ700จุดอีก12เดือนข้างหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - บล.ทิสโก้ มองหุ้นไทยยังผันผวนต่อ เชื่อระดับดัชนีโดยเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 550 จุด และแนวรับ 380 จุด ชี้ตลาดหุ้นไทยรั้งท้ายเอเชีย เหตุการเมืองนับวันยิ่งไม่มีความชัดเจน ย้ำจีดีพีในวิกฤติการณ์ครั้งนี้ ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนนโยบายกู้เศรษฐกิจ "ไทยเข้มแข็ง" กระตุ้นลำบาก เหตุคิดเป็นสัดส่วน 10% ของจีดีพีเท่านั้น ด้าน บลจ.ยูโอบี มองโอกาสปรับขึ้นไปที่ 700 จุดภายใน 12 เดือนข้างงหน้า

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก และระดับดัชนีของตลาดหุ้นไทยในปี 2552 น่าจะอยู่ที่ระดับ 550 จุดโดยเฉลี่ย และมองว่าแนวรับน่าจะอยู่ที่ระดับ 380 จุด ทั้งนี้ หากภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นจะต้องประกอบด้วยสัญญานของตัวเลขหลายตัว  แต่ในปัจจุบันยังมองไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยภาคการส่งออกในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมายังติดลบไป 20% ขณะที่ตัวเลขหลายปัจจัยยังคงติดลบ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน หากมองแบบผิวเผินจะพบว่ายังไม่ฟื้นตัว แต่มองว่าจุดต่ำสุดเราได้เห็นแล้ว
 
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงไตรมาสแรกติดลบไป 7% และน่าจะเป็นระดับที่ต่ำสุดในวิกฤติการณ์รอบนี้แล้ว แต่ภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ยังคงถดถอยอยู่ และถ้าภาวะเศรษฐกิจหยุดถดถอย แม้ว่าตัวเลขจีดีพีจะติดลบอยู่ต่อไปจนถึงไตรมาส 4 ของปีนี้จนถึงไตรมาส 1 ของปี 2553 ภาวะเศรษฐกิจจึงน่าจะฟื้นตัวขึ้น จากการที่ประเทศไทยมีการพึ่งพิงการส่งออกมากถึง 70% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมาก ดังนั้น การกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจด้วยแผนเมืองไทยเข้มแข็งจากทางภาครัฐจึงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเม็ดเงินดังกล่าวเท่ากับ 10% ของตัวเลขจีดีพีเท่านั้น
ทั้งนี้ หากมีเม็ดเงินลงทุนใหม่ไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทย น่าจะช่วยให้ดัชนีปรับขึ้นไปได้เช่นกัน และจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลไปยังกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่ มาร์เก็ต ฟันด์) ไม่มากนัก  และในปัจจุบัน ความเสี่ยงอยู่ที่นอกประเทศ โดยประเทศในภูมิภาคเอเชียไม่ได้ประสาบปัญหาโดยตรง และแนวโน้มของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

แต่ตลาดหุ้นไทยจะเป็นตลาดท้ายๆ ที่ปรับตัวขึ้นไป ขณะเดียวกัน หากภาวะเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวก็จะทำให้นักกลงทุนเทขายออกไปเช่นกัน และมองว่าอย่างน้อย 12 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นน่าจะมีความผันผวนต่อไป หากดัชนีปรับขึ้นไปเมื่อไรก็จะถูกเทขายทำกำไรทันที เนื่องจากนักลงทุนยังมองภาวะเศรษฐกิจแตกต่างกัน

 ในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยถือว่าครองแชมป์รั้งทายของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ที่อินโดนีเซียจะมีพีอีอยู่ในลำดับท้าย เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองที่นับวันจะยิ่งมีความชัดเจนน้อยลงไป ส่วนความเสี่ยงทางเศรษฐกิจยังมีอยู่มาก ขณะที่ประเทศไทยเองยังมีสัดส่วนของหุ้นที่มีราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ที่มีการซื้อขายไม่มาก

โดยจะมีหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีการซื้อขายสูง ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็มีการซื้อขายในระดับพีอีต่ำ ขณะที่ตลาดหุ้นของประเทศอื่นจะมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่มการบริโภค (คอนซูเมอร์) ที่มีพีอีสูง ดังนั้น จึงควรเพิ่มสัดส่วนหุ้นที่มีพีอีสูงเข้ามาในตลาดหุ้นให้มากขึ้น

 ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีระดับพีอีที่ 11 เท่า จากเดิมที่อยู่ในระดับ 7 เท่า คาดว่าจากนี้ไปจะปรับขึ้นไปเทียบเท่ากับพีอีของภูมิภาคเอเชียที่ระดับ 16 เท่าได้ และระดับราคาในปัจจุบันไม่ถือว่าถูก หากเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน และแม้ว่าตลาดหุ้นไทยในอนาคตจะมีความผันผวน แตไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นจะไม่สามารถปรับขึ้นไปได้
นายสิทธิศักดิ์ ณัฐวุฒิ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ได้ปรับขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือนเศษ โดยปรับขึ้นมาจากระดับ 400 จุด ขึ้นไปที่ 600 จุด ซึ่งปัจจัยพื้นฐานแล้ว ถือว่ามาถึงระดับเดียวกับดัชนีในกรณีหากภาพเศรษฐกิจโดยรวมกลับไปดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขหลายตัวติดลบ ส่วนภาคการท่องเที่ยวแม้ว่าจะแย่ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวเองก็ไม่ได้ลดลงมาก เมื่อเปรียบเทียบแบบเดือนต่อเดือน สรุปแล้วโดยภาพรวมตัวเลขในช่วงไตรมาสแรกถือว่ามองเป็นฐานของเศรษฐกิจไทยในรอบนี้ได้ในระดับหนึ่ง คาดว่าในช่วงไตรมาส 2 น่าจะอยู่ระดับเดียวกัน และในช่วงไตรมาส 3 - 4 ของปีนี้น่าจะดีขึ้น

 อย่างไรก็ตาม มองว่าภาวะเศรษฐกิจน่าจะทรงตัวหรือเริ่มผงกหัวขึ้นแล้ว ทำให้นักลงทุนเกิดความคาดหวัง และส่งผลให้ดัชนีหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นไปถึง 200 จุด แต่ในแง่ความผันผวนยังมีอยู่ โดยมีปรับประมาณการของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนลงมา 30% แต่ในเดือนพฤษภาคม 2552 หลังจากสัญญาณบางตัวดีขึ้น ทำให้หลายฝ่ายเริ่มปรับเพิ่มผลประกอบการของ บจ.อีกครั้งโดยปรับลดผลประกอบการเพียง 5 - 10% หรือสูงสุดที่ 20% เท่านั้น

 ทั้งนี้ หากจะมองที่ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่ากลับมาเท่าเดิมแล้ว แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายังไม่ถึงงระดับเดิม โดยหากมองราคาหุ้นโดยมูลค่าทางบัญชี (พีบี) จะอยู่ที่ 1.6 เท่า ซึ่งเป้นระดับที่ดีกว่าที่ผ่านมา แต่หากจะกลับไปที่ะดับเดิมได้ ภาวะเศรษฐกิจจะต้องฟื้นตัวอย่างชัดเจน และมีปัจจัยพื้นฐานมาส่งเสริมด้วย แต่ราคาหุ้นไม่ได้ถูก แต่ก็นับว่ามีความเหมาะสมแล้ว ส่วนปัจจัยทางการเมืองมีส่วนสำคัญที่ทำให้หุ้นไทยขึ้นไปน้อย โดยในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศไม่ได้เหลียวแลตลาดหุ้นไทยเลย ซึ่งหากการเมืองเป็นปกติแล้วก็น่าจะช่วยให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาได้ และหลายฝ่ายมองว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะอยู่ที่ระดับ 700 จุดได้ หลังจากบริษัทหลักทรัพย์มีการใช้พีอี พีบี มาคำนวณแล้วพบว่าดัชนีในช่วง 12 เดือนข้างหน้าน่าจะยืนอยู่ระดับดังกล่าวได้ 
กำลังโหลดความคิดเห็น