xs
xsm
sm
md
lg

"ศุภวุฒิ"หวั่นสัญญาณลวงเศรษฐกิจฟื้น ชี้ตลาดหุ้นไทยดีดตัวสะท้อนข่าวดีมากแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - “ศุภวุฒิ”แนะจับตาเศรษฐกิจมะกันต่อเนื่อง หลังพบตัวเลขว่างงานยังพุ่งไม่หยุด หวั่นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นแค่สัญญาณลวง พร้อมเตือนนักลงทุนรอบคอบ หลังตลาดหุ้นไทยดีดตัวสะท้อนข่าวดีมากแล้ว ระบุอาจมีการผับฐาน และผันวผวนเกิดขึ้นให้เห็นอีกระยะ จากปัจจัยกดดันด้าน การขยายตัวของเศรษฐกิจที่รัฐสบาลอาจพลาดเป้าที่ 5.5% ได้

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ ภัทร เปิดเผยว่า หลังจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังต้องจับตากันต่อไปว่าจริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าตัวเลขต่างๆจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งในส่วนของการใช้จ่าย การผลิต แต่ที่น่าเป็นห่วงคือตัวเลขการว่างงานในสหรัฐยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีคนตกงานเพิ่มขึ้นเดือนละ 4-5 แสนคน ทำให้อัตราการว่างงานปกติของสหรัฐ 5.5-6.0% ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 9% ซึ่งรัฐบาลสหรัฐเองยังต้องออกมายอมรับแล้วว่าในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้าอัตราการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 10% อีกด้วย

 ทั้งนี้ ตัวเลขคนว่างงานที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อปัญหาสินเชื่อตามมาไม่ว่าจะเป้นสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต อุปโภคบรโภคเป็นต้น การที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมากว่า 30% ก็เพราะความคาดหมายในเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงปลายปี2552 แต่ตลาดหุ้นก็ยังมีความเสี่ยงอยู่เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นได้หรือไม่นั้นคงต้องติดตามดูว่ารัฐบาลสหรัฐจะสามารถขาดดุล ได้มากตามที่พูดไว้หรือไม่ และสถาบันการเงินจะปล่อยสินเชื่อได้หรือไม่ อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรสหรัฐจะต้องปรับขึ้นไม่มาก
 
“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะทุกคนมีหนี้มาก แต่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากับความคาดหวังเพราะเห็นรัฐบาลสหรัฐและธนาคารกลางสหรัฐเข้าไปอุ้มไว้มาก ทำให้ตลาดหุ้นมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวได้ หากทำได้อย่างที่พูดหุ้นก็ไปต่อได้แต่สงสัยว่าจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่าเพราะเริ่มเห็นข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐแล้วเช่นกัน”นายศุภวุฒิกล่าว

 นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันที่ซื้อขายกันในระดับราคาต่อกไรสุทธิ((P/E) ที่ ประมาณ 11-12 เท่า เป็นราคาที่สะท้อนการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ตามแผนที่ตั้งไว้ทุกประการ แต่ขณะนี้ข่าวดีต่างๆ ได้สะท้อนไปในราคาที่ออกมาล่วงหน้ามากแล้ว ทำให้ตลาดอาจจะกำลังมีการฉุกคิดว่าหุ้นไทยได้รับผลกระทบในเชิงบวกมากเกินไปแล้วหรือไม่ ส่งผลให้เริ่มมีความผันผวนในระยะสั้นออกมาให้เห็น

 ส่วน การกู้เงินและออกพันธบัตรของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเมื่อรวมกับการขาดดุลงบประมาณปกติจะทำให้ขาดดุลประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท ในเวลา 4 ปี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ปีละ 4% นี่คือข้อดีที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ประเด็นที่ต้องสนใจคือไปลงทุนแล้วคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าไปลงทุนในโครงการที่ไม่สร้างรายได้ไม่ช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในอนาคต อาจจะมีปัญหาได้เช่นกันในระดับหนี้สาธารณะที่มองไว้ 60% ของ GDP
“ตัวเลขหนี้สาธารณะ 60% ของ GDP จะอยู่ในวิสัยที่บริหารได้นั้น เศรษฐกิจของประเทศต้องเติบโตให้ได้ปีละ 5.5% ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ด้วย แต่ถ้าโตได้ต่ำกว่านั้นหรือโตได้เพียง 3% มีปัญหาแน่ เราคงได้เห็นภาษมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขึ้นแน่นอน”นายศุภวุฒิกล่าว

 ด้าน นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า หากมองว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวการลงทุนในน้ำมันจะมีความเสี่ยงในขาลง (Down side) ค่อนข้างน้อย ปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 69-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ใน ระยะสั้นราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนโดยจะเคลื่อนไหวในกรอบ 68-73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล แต่ถ้ามองกันในระยะยาวราคาน้ำมันยังเป็นขาขึ้นมากกว่าลง

 "มีการคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้ไว้ที่ 75-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล มีโกลด์แมนแซคที่มองไว้ 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล โดยเชื่อว่าราคาน้ำมันหากมีการปรับตัวลงมาจะรับได้ที่ระดับ 65-66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล จะสามารถรับอยู่ ทั้งนี้มองว่าราคาน้ำมันปีหน้าจะขึ้นไปถึงระดับ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลได้เช่นกัน"นายมนูญกล่าว

 นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน กล่าวว่า ราคาทองคำยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น (side way up) โดยมองว่าราคาทองคำในระยะสั้นมีโอกาสที่จะลงไปที่ระดับ 910 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถ้าค่าเงินบาทนิ่งอยู่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เราจะได้เห็นทองคำที่ 15,000 บาทได้ นักลงทุจึงยังไม่ต้องรีบร้อนเข้าไปลงทุนอาจจะรอจังหวะนิดหน่อยเพื่อไปรอซื้อในช่วงนั้นแล้วไปรอขายที่ระดับ 970-980ดอลลาร์สหรัฐภายในปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น