xs
xsm
sm
md
lg

ยกขบวน"กองทุนน้ำมัน" โอกาส-ความเสี่ยง...ที่มาคู่กัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งสำหรับน้ำมันดิบที่เรียกได้ว่าเป็น ทองคำสีดำ หรือ Black Gold ท่ามกลางกระแสการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีใต้ที่กลับมาได้รับความนิยม และยังคงแรงอย่างต่อเนื่องอีกครั้งเช่นกัน โดยในอดีตที่ผ่านมา น้ำมันได้กลายเป็นที่เป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก จนเกิดคำอุปมาอุปมัยว่า...ใครที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันก็คล้ายกับการเป็นเจ้าของเหมืองทองคำราวๆ นั้นทีเดียว

ในปี 2551 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ในสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเคยพุ่งทะยานจากระดับราคาประมาณ 60 – 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี ขึ้นสู่ระดับ 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในตอนกลางปี และกลับลงมาอยู่ระดับ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก่อนที่จะทยานขึ้นมาที่ 60 – 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปัจจุบัน

แต่หลังจากที่ข่าวร้ายเริ่มจางหายไป ความหวังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีให้เห็นรำไร ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ขยับปรับขึ้นมาอีกครั้งตามลำดับ ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายรายเริ่มกลับมาให้ความสนใจในการออกกองทุนที่เน้นลงทุนในน้ำมันกันอย่างคึกคัก และทำท่าจะออกกันอย่างหนาแน่นในช่วงนี้ ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา บลจ.เอ็มเอฟซีประสบความสำเร็จกับการตั้งกองทุนแบบมีเป้าหมายการลงทุน (Target Fund) ที่เน้นลงทุนในน้ำมัน

กองทุนที่กล่าวถึงคือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟิฟทีน ซีรีส์ (I-OIL 15S1) โดยสามารถปิดกองทุน และคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยได้ในเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น หลังจากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 15% ก่อนจะครบอายุกองทุนที่ตั้งไว้ 1 ปี ซึ่งกองทุนนี้ได้เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนน้ำมันกองใหม่ครั้งแรกประมาณวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2552 โดยตั้งเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 10% และมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างผลกำไรจากกระแสราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขาขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนตัวลง และภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวไปในทิศทางที่ดี โดยคาดว่ากองทุนนี้จะสามารถปิดกองทุนได้เร็วกว่ากอง I-OIL 15S1 อีกด้วย

สำหรับกองทุนใหม่ที่จะเสนอขายมีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท ซึ่งนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายหลักยังเป็นรายย่อย โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70 – 80% ส่วนที่เหลือจะเป็นนักลงทุนประเภทสถาบัน

"พิชิต" บอกว่า บริษัทยังมีกองทุนน้ำมันภายใต้การบริหารอีกหนึ่งกองที่เป็นกองทุนเปิดสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการคือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์ หรือ I-OIL ซึ่งลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน PowerShares DB Oil Fund ซึ่งลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบ ทั้งนี้ กองทุนลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอีกด้วย

ฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อยุธยา กล่าวว่า ในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ บริษัทจะเปิดตัวกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์กองใหม่ภายใต้ชื่อ "กองทุนเปิดอยุธยาออยล์ 10% ทาร์เก็ต (AYFOIL10) มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 11- 24 มิถุนายนนี้ กำหนดการจองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท

สำหรับกองทุนดังกล่าวจะลงทุนผ่านกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกองทุนที่อ้างอิงกับดัชนีน้ำมัน แต่คนละดัชนีกับกองทุนที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน นอกจากนี้ รูปแบบของกองทุนยังเป็นกองทุนปิดที่กำหนดผลตอบแทนเอาไว้ 10% แล้วปิดกองทุนจ่ายผลตอบแทนให้ลูกค้าทันที

ธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด-ธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน กองทุนเปิดทิสโก้ออยล์ฟันด์ (TISCO Oil Fund) มีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันในขณะนี้น่าจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การคงกำลังการผลิตของประเทศในกลุ่มโอเปก และความต้องการบริโภคน้ำมันของประเทศจีนและอินเดียที่ปรับตัวดีขึ้น โดยสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชัดเจนนั้นส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะมีเพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย

ศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานตลาด บลจ.พรีมาเวสท์ กล่าวว่า กองทุนเปิดพรีมาเวสท์ ออยล์ ฟันด์ (POIL) ได้เปิดให้ซื้อขายได้ทุกวันตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยกองทุนเข้าไปลงทุนในกองทุนของ “PowerShares DB Oil Fund” ซึ่งเป็นกองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กที่สหรัฐอเมริกา (NYSE) ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายที่จะนโยบายการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในน้ำมันดิบ (light sweet crude oil) เช่นเดียวกับหลายกองทุนที่มีอยู่ในตลาด

จุดเด่นของกองทุนนี้ อยู่ที่หลักการลงทุนที่แตกต่าง โดยจะมีระบบในการคัดเลือกสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อที่จะเข้าไปซื้อสัญญาล่วงหน้าน้ำมันในราคาที่ถูกและขายในช่วงที่ราคาแพง โดยจะไม่ถือสัญญาล่วงหน้าดังกล่าวไปจนครบอายุสัญญา ถึงแม้ว่าขณะนั้นจะขาดทุนก็ตาม ซึ่งระบบดังกล่าวจะมีการเลือกลงทุนต่อทดแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ครบอายุที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดในขณะนั้น ถึงแม้ว่าขณะนั้นจะขาดทุนก็ตาม

ล่าสุด กับกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ (KT-Energy) ของบลจ.กรุงไทย ที่จะลงทุนใน BGF World Energy Fund กองทุนหลักในต่างประเทศที่บริหารโดย BlackRock หนึ่งในบริษัทจัดการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบัน BGFWorld Energy Fund มีขนาดกองทุนประมาณ 91,000 ล้านบาท...ซึ่งกองทุนนี้ จะลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่ประกอบธุรกิจด้านการสำรวจ พัฒนาผลิต และจัดจำหน่ายพลังงาน ซึ่งรวมถึงพลังงานทางเลือก

อีกจุดเด่นคือ กองทุน KT-Energy เป็นกองทุนที่ไปลงทุนในหุ้นพลังงาน ไม่ได้ไปลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบในตลาดโลกแต่ประการใด ดังนั้น กองทุนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ราคาของสัญญาล่วงหน้าในตลาดโลกปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ คือราคาน้ำมันไม่ไปไหน บริษัทพลังงานที่กองทุนเข้าไปลงทุนก็ยังมีศักยภาพ ในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง

...ฟังมุมมองด้านบวกไปแล้ว มาดูความเสี่ยงกันบ้าง
โชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ. ไทยพาณิชย์ บอกว่า ราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ราคามักจะอยู่ในระหว่าง 30 – 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเท่านั้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันยังไม่สามารถปรับขึ้นไปที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในอนาคตอันใกล้นี้ ส่งผลให้มีส่วนต่างของราคาค่อนข้างน้อย จึงไม่น่าสนใจในการออกกองทุนเข้าไปเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคามากนัก

...สำหรับนักลงทุนที่สนใจสามารถเลือกลงทุนได้ตามความพอใจ แต่อย่าลืมว่าควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะเข้าไปลงทุน เนื่องจากการลงทุนในกองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนอื่นๆ ทั่วไปอยู่พอสมควร ดังนั้น จึงควรพร้อมทั้งเม็ดเงินลงทุนที่ต้องเป็นเงินเย็น ลงทุนระยะยาว และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูงด้วย เพราะตอนนี้ ยังบอกไม้ได้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริงหรือแค่หลอกๆ

ที่สำคัญ กองทุนต่างประเทศในบ้านเราส่วนใหญ่ จะออกมาเมื่อตอนที่ทุกอย่าง อาจจะสายไปแล้ว หรือพูดง่ายๆว่า ราคาได้ปรับขึ้นไประดับหนึ่งแล้ว ดังนั้น ในระยะสั้นๆ การคาดหวังผลตอบแทนสูงอาจจะค่อนข้างลำบาก แต่ระยะยาวแล้ว ต้องบอกว่า เศรษฐกิจฟื้นจริง ความต้องการสูงขึ้น โอกาสนี้ก็น่าจะคว้าเอาไว้เช่นกัน...

กำลังโหลดความคิดเห็น