วอลสตรีทเจอร์นัล/เอเอฟพี – กูรูด้านพลังงานคาด ราคาน้ำมันโลกอาจดีดตัวกลับมาสูงอีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนประกาศแพคเกจนโยบายมูลค่า 5.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้การบริโภคน้ำมันภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นตาม
เมื่อเร็วๆ นี้เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดิบในสหรัฐฯ และยุโรปตกฮวบส่งผลให้ราคาน้ำมันในช่วงกลางฤดูร้อนที่ผ่านมาร่วงตาม ทำให้บรรดาผู้ค้าน้ำมันต่างตั้งความหวังกับจีนและตะวันออกกลางเนื่องจากมีอุปสงค์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
แต่การที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวนั่นก็ได้ส่งผลร้ายต่อจีนซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกด้วยเช่นกัน โดยส่งผลให้โรงงานต่างๆ ต้องปิดตัวหรือควบคุมการผลิตให้น้อยลง อุตสาหกรรมการก่อสร้างในประเทศก็ชะลอตัว ความต้องการเชื้อเพลิงการขนส่งโดยเฉพาะดีเซลลดลง ขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์เดือนตุลาคมที่ผ่านมาขยายตัวเพียง 8.3% เท่านั้น ลดลงจากที่ขยายตัวเกือบ 20% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ชาวจีนยังลดการเดินทางทางเครื่องบินทำให้ปริมาณการนำเข้าเชื้อเพลิงเครื่องบินก็ลดลงตาม
นอกจากนี้สัญญาณว่าอุณหภูมิเศรษฐกิจจีนกำลังเย็นตัวลงก็ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะคงที่ หรืออาจถึงขั้นทรุดฮวบในปีหน้า ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา
แต่ชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ที่คณะมุขมนตรีโดยมีนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าเป็นประธานได้อนุมัติไปเมื่อวันพุธที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น จะมาเปลี่ยนแปลงแรงคาดการณ์ดังกล่าว แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่ามาตรการเหล่านี้จะแสดงผลอย่างสมบูรณ์ก็ตาม
“หากจีนประสบความสำเร็จในการรักษาอัตราขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไว้เหนือ 8% ในปี 2009 ก็น่าจะมีข่าวดีเกี่ยวกับอัตราการขยายตัวความต้องการน้ำมันของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันอุตสาหกรรมการกลั่นของจีนนั้นเริ่มทำกำไรบ้างแล้ว” กอร์ดอน กวน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านพลังงานจีนของ CLSA Asia-Pacific Markets ทั้งนี้ที่ผ่านมาโรงกลั่นในจีนเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลพยายามกดราคาขายน้ำมันให้ต่ำกว่าราคาตลาดโลก
โดยก่อนหน้านี้ผลผลิตทางเศรษฐกิจของจีนคาดว่าจะขยายตัวเกือบ 10% ในปีนี้ แต่สัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจที่หยั่งลึกขึ้นทำให้นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปีหน้าอาจะร่วงแรงจนต่ำกว่า 6% ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม การทุ่มงบครั้งใหญ่สุดร่วม 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4 ล้านล้านหยวน ผนวกกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะช่วยผลักดันอัตราการขยายตัวให้กลับมาสูงกว่า 8% ได้ในปี 2009
และล่าสุดข่าวการอัดฉีดเงินลงทุนในภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคอสังหาริมทรัพย์ การสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การเกษตรต่างๆ ได้ฉุดให้เมื่อวันจันทร์ (10 พ.ย.) ราคาน้ำมันในตลาดโลกของสัญญาน้ำมันตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธันวาคมปรับตัวขึ้น 1.37 ดอลลาร์สหรัฐจากที่ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (7 พ.ย.) เป็น 62.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาด InterContinental Exchange ของลอนดอนสำหรับสัญญาส่งมอบเดือนธันวาคมก็ปรับตัวสูงขึ้น 1.73 เหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ 59.08 เหรียญ
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์เองก็ดีดตัวสูงขานรับมาตรการดังกล่าวด้วย โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาดัชนีคอมโพซิทเซี่ยงไฮ้ปิดตลาดที่ 1874.80 จุด ปรับตัวขึ้น 127.80 หรือ 7.27% ก่อนจะปรับลดลง 1.66% ในวันอังคาร โดยกลุ่มบริษัทที่หุ้นพุ่งสูงที่สุดได้แก่ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เหล็ก สถาบันการเงิน ตามมาด้วยบริษัทพลังงาน เช่น บริษัทปิโตรไชน่าเพิ่มขึ้น 6.7% เป็น 11.22 หยวน
ทั้งนี้ ความต้องการน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในแผ่นดินใหญ่ ตะวันออกกลาง และอินเดียส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสู่ 147 เหรียญต่อบาร์เรลเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนที่วิกฤตเศรษฐกิจโลกจะเล่นงานการบริโภคพลังงานในสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาดิ่งลงเกือบ 60 เหรียญต่อบาร์เรล
ปัจจุบันจีนเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยมียอดการใช้ตกประมาณ 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่สหรัฐฯ ใช้ 19 ล้านบาร์เรลต่อวัน