ASTVผู้จัดการรายวัน-เอยูเอ็มบลจ.ทิสโก้ 5 เดือนโตกว่า 11.5% เหตุลูกค้าสบช่องขยายการลงทุน และอานิสงส์ของตลาดหุ้นรีบาวน์ดันราคาเอ็นเอวีหลายกองทุนปรับตัวดีขึ้นพร้อมระบุนักลงทุนเริ่มสนใจกองพันธบัตรออสเตรเลียอีก หลังค่าเงินออสซี่เริ่มแข็ง ส่วนกองในตระกูลก่อนหน้านี้ใกล้ปิดตัวพร้อมผลตอบแทน 5% หลังราคาเอ็นเอวีใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้ 10 บาท
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด-ธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีทีผ่านมาการเสนอขายกองทุนต่างของบริษัทได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น และกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ปัจจุบันสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารในส่วนของกองทุนรวมปรับตัวขึ้นมาจากช่วงต้นปีประมาณ 11.5% อยู่ที่ 1.63 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ 1.46 ล้านบาท
ทั้งนี้ การที่ขนาดAUMของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้นเนื่องมาจากปัจจัยหลักๆ 3 ประการคือ 1.การที่นักลงทุนเริ่มมองเห็นโอกาสของการทำกำไรกองทุนหุ้น และกองคอมมอดิตี้ประเภทต่างๆ 2.การปรับตัวของตลาดหุ้นที่ส่งผลต่อการปรับของเอ็นเอวี และ3.ผลการดำเนินงานของกองทุนที่บริษัทบริหารอยู่
"นักลงทุนขยายการลงทุนมากขึ้นหลังจากเห็นโอกาสในกองหุ้น และกองน้ำมัน อันเนื่องมาจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนผลการดำเนินงานของแต่ละกองทุนที่เราดูอยู่ก็มีต่อการตัดสินใจของนักลงทุนด้วยเช่นกัน ทำให้นักลงให้การตอบรับกองทุนที่บริษัทนำออกมาเสนอขายเป็นอย่างดี"นางสาวธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า การเปิดขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศอย่าง“กองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรออสเตรเลีย สเปเชี่ยล ฟันด์”ในช่วงที่ผ่านมานั้น นักลงทุนได้เริ่มกลับมาให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากสถาการณ์การลงทุนของกองทุนประเภทนี้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราผลตอบแทนที่ได้รับก็อยู่ในระดับสูงอีกด้วย
"ผลการดำเนินงานหลักๆ ของกองตราสารหนี้ต่างประเทศที่บริษัทดูแลจะมาจากค่าเงิน เพราะเราไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งหลังจากที่ค่าเงินของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ปรับตัวดีขึ้นจึงส่งผลต่องานของกองทุนประเภทนี้อย่างมาก"นางสาวธีรินทร์กล่าว
ส่วนกองทุนประเภทเดียวกันที่เสนอขายไปก่อนหน้านี้ผลการดำเนินงานได้ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยหลังจากที่ทำการเลื่อนอายุโครงการออกมาระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าจะสามารถทำการปิดกองลงได้ภายในระยะเวลาอีกไม่นานนัก เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าหน่วยลงทุนได้ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 9 บาทกว่าต่อหน่วย ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าที่ตั้งไว้คือ 10 บาทต่อหน่วยก่อนจะทำการปิดกองลง
นางสาวธิรินทร์ กล่าวอีกว่า การปิดกองทุนในระดับ 10 บาทต่อหน่วยของกองทุนประเภทนี้ สิ่งที่นักลงทุนจะได้ก็คือผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่เข้าไปลงทุน โดยจะอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปีสำหรับกองทุนที่เปิดขายไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากในช่วงนั้นอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง ส่วนกองทุนที่เพิ่มทำการเสนอขายจะมีผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 3% เท่านั้น
"ดอกเบี้ยมันไม่เท่ากัน เพราะหลังจากที่มีวิกฤตยิลด์บอนด์ทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลด ซึ่งแต่ละประเทศต้องการรักษาสภาพคล่องของตนเอาไว้ ทำให้กองที่ออกก่อนจะมียิลด์จากดอกเบี้ยที่ตราเอาไว้สูงกว่ากองใหม่"นางสาวธีรินทร์กล่าว
สำหรับกองทุนที่เปิดใหม่นั้นจะมีนโยบายการลงทุนเช่นเดียวกับที่ทำการเสนอขายก่อนหน้า โดยจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเครดิตเรตติ้งหรืออันดับความน่าเชื่อถือสูงที่สุด คือ AAA มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท และอายุโครงการประมาณ 1 ปี 3 เดือน
แต่สำหรับกองทุนนี้จะมีเงื่อนไขพิเศษกว่า โดยสามารถเลิกกองทุนและรับเงินต้นคืนพร้อมผลตอบแทนได้ก่อนครบอายุโครงการ หากหน่วยลงทุน (NAV) มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11 บาท หรือเพิ่มขึ้น 10% ณ วันทำการใดภายในระยะเวลาลงทุน ซึ่งจะช่วยผู้ถือหน่วยได้เพิ่มผลประโยชน์มากขึ้นและไม่ต้องติดตามการลงทุนด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในรูปสกุลเงินดอลล่าร์ออสเตรเลีย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีผลกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย