บลจ.ไอเอ็นจีชูกองทุน "ไอเอ็นจี ไทย บริค 40" รับเเนวโน้มเศรษฐกิจจีน อินเดีย-ฟื้น ชี้นโยบายของรัฐบาลใหม่ของอินเดีย เปิดช่องนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนมากขึ้นเชื่อส่งผลดีต่อตลาดหุ้น พร้อมเเนะนักลงทุนจัดสรรเงินทยอยลงทุน "บริค" เชื่อความเสี่ยงตลาดหุ้นทั้ง 4 ประเทศใกล้เคียงกับตลาดหุ้นไทย
นายต่อ อินทรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมเเละที่ปรึษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตอนนี้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจเเละจับตามมองไปที่ตลาดเกิดใหม่ อย่างประเทศจีน เเละประเทศอินเดียมากขึ้น โดยมุมมองของเรามองว่า ประเทศจีนจะสามารถสู้กับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวนี้ได้ ถึงเเม้ว่าภาคการส่งออกของจีนอาจจะลดลงไปบ้างก็ตาม ขณะที่ประเทศอินเดีย สถานการณ์การเมืองเริ่มดีขึ้น ซึ่งถ้าดู GDP ของประเทศนั้นต้องถือว่าน่าสนใจ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นประเทศอินเดียพึงพาการส่งออกค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เเต่จะเน้นการบริโภคภายในประเทศค่อนข้างมาก ทำให้ประเทศอินเดียได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นของอินเดียเองเริ่มมีความเคลื่อนไหวในทางที่ดีขึ้นจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์หลายคนมองว่านโยบายของรัฐบาลใหม่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศได้ถือว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจอินเดียด้วยเช่นกัน
"เมื่อเทียบระหว่างตลาดหุ้นไทย กับตลาดหุ้นจีน อินเดีย รัสเซีย เเละบราซิล นั้นมีความใกล้เคียงกัน เนื่องจากเป็นตลาดเกิดใหม่ทั้งสิ้น ความผันผวนของตลาดเองก็มีความใกล้เคียงกัน โดยกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย บริค 40 ก็น่าจะให้ผลตอบเเทนเเละมีความเสี่ยงมากกว่าหรือใกล้เคียงกับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย หากนักลงทุนที่พอรับความเสี่ยงได้ ก็อยากให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของเเต่ละบุคคล ซึ่งกองทุนดังกล่าวก็น่าจะให้ผลตอบเเทนที่ดีได้ในอนาคต" นายต่อ กล่าว
ด้านประเทศรัสเซีย ต้องยอมรับว่าเมื่อปลายปีที่เเล้ว ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างนักจากปัญหาการเมือง เเละปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวประกอบกับราคาน้ำมันเเละก๊าซธรรมชาติลดลง ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่เหลือนี้ เราเชื่อว่าราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากต้นปีที่อยู่ 35-36 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 62-65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล น่าจะส่งผลดีต่อปะเทศรัสเซีย
ขณะที่ประเทศบราซิลนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม เเละมีเหมืองเเร่ที่ผลิตเครื่องประดับที่มีค่าทั้งหลาย ประกอบกับเป็นประเทศที่มีน้ำมัน เเละผลิตเอทานอล ส่งออกเป็นจำนวนมาก ทำให้ประเทศบราซิลเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจ เเละที่สำคัญประเทศดังกล่าวยังเป็นฐานการผลิตให้กับประเทศสหรัฐอเมริกา เเละประเทศเเคนนาดาอีกด้วย
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 ตั้งเเต่ต้นปี อยู่ที่ 17.94% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 17.16% โดยเกณฑ์มาตรฐานอ้างอิงกับดัชนี คือ MSCI AC World CR USD ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 0.78%
สำหรับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 จะลงทุนในกองทุนรวมนี้จะนำเงินไปลงทุนใน “หน่วยลงทุนของกองทุนในต่างประเทศ” (เพียงกองทุนเดียว) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีตั้งแต่ร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน และกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ETF ในต่างประเทศ โดยกองทุนรวมต่างประเทศดังกล่าว มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีหุ้น ซึ่งได้แก่S&P BRIC 40 Index โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด และบ่งชี้ถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุนซึ่งดัชนีดังกล่าวประกอบด้วย หุ้นทั้งหมด 40 ตัวจาก 4 ประเทศที่น่าจับตามอง ได้แก่ ประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการลงทุน กองทุนจะพิจารณาลงทุนในกองทุนSPDR S&P BRIC 40 ETF ซึ่งจัดตั้งและบริหารจัดการโดย SSgA Funds Management, Inc. หนึ่งในบริษัทในเครือของ State Street Bank and Trust Company โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา (American Stock Exchange : AMEX) และเป็นกองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายการลงทุนสอดคล้องกับที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากกองทุนจะลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศข้างต้นแล้ว กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีสินค้าหรือตัวแปรเป็นหลักทรัพย์หรือดัชนีกลุ่มหลักทรัพย์ และ/หรืออัตราดอกเบี้ย และ/หรืออันดับความน่าเชื่อถือหรือเหตุการณ์ที่มีผลต่อการชำระหนี้ของตราสารแห่งหนี้ และ/หรือสินค้าหรือตัวแปรอื่นใดที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง(Hedging) หรือการหาดอกผลโดยวิธีการอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดหรือให้ความเห็นชอบทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนบางส่วนในประเทศไทย โดยบริษัทจัดการจะฝากเงินของกองทุนไว้ในบัญชีเงินฝากในประเทศไทย ตลอดจนลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
นายต่อ อินทรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมเเละที่ปรึษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตอนนี้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจเเละจับตามมองไปที่ตลาดเกิดใหม่ อย่างประเทศจีน เเละประเทศอินเดียมากขึ้น โดยมุมมองของเรามองว่า ประเทศจีนจะสามารถสู้กับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวนี้ได้ ถึงเเม้ว่าภาคการส่งออกของจีนอาจจะลดลงไปบ้างก็ตาม ขณะที่ประเทศอินเดีย สถานการณ์การเมืองเริ่มดีขึ้น ซึ่งถ้าดู GDP ของประเทศนั้นต้องถือว่าน่าสนใจ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นประเทศอินเดียพึงพาการส่งออกค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เเต่จะเน้นการบริโภคภายในประเทศค่อนข้างมาก ทำให้ประเทศอินเดียได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นของอินเดียเองเริ่มมีความเคลื่อนไหวในทางที่ดีขึ้นจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์หลายคนมองว่านโยบายของรัฐบาลใหม่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศได้ถือว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจอินเดียด้วยเช่นกัน
"เมื่อเทียบระหว่างตลาดหุ้นไทย กับตลาดหุ้นจีน อินเดีย รัสเซีย เเละบราซิล นั้นมีความใกล้เคียงกัน เนื่องจากเป็นตลาดเกิดใหม่ทั้งสิ้น ความผันผวนของตลาดเองก็มีความใกล้เคียงกัน โดยกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย บริค 40 ก็น่าจะให้ผลตอบเเทนเเละมีความเสี่ยงมากกว่าหรือใกล้เคียงกับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย หากนักลงทุนที่พอรับความเสี่ยงได้ ก็อยากให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของเเต่ละบุคคล ซึ่งกองทุนดังกล่าวก็น่าจะให้ผลตอบเเทนที่ดีได้ในอนาคต" นายต่อ กล่าว
ด้านประเทศรัสเซีย ต้องยอมรับว่าเมื่อปลายปีที่เเล้ว ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างนักจากปัญหาการเมือง เเละปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวประกอบกับราคาน้ำมันเเละก๊าซธรรมชาติลดลง ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่เหลือนี้ เราเชื่อว่าราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากต้นปีที่อยู่ 35-36 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 62-65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล น่าจะส่งผลดีต่อปะเทศรัสเซีย
ขณะที่ประเทศบราซิลนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม เเละมีเหมืองเเร่ที่ผลิตเครื่องประดับที่มีค่าทั้งหลาย ประกอบกับเป็นประเทศที่มีน้ำมัน เเละผลิตเอทานอล ส่งออกเป็นจำนวนมาก ทำให้ประเทศบราซิลเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจ เเละที่สำคัญประเทศดังกล่าวยังเป็นฐานการผลิตให้กับประเทศสหรัฐอเมริกา เเละประเทศเเคนนาดาอีกด้วย
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 ตั้งเเต่ต้นปี อยู่ที่ 17.94% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 17.16% โดยเกณฑ์มาตรฐานอ้างอิงกับดัชนี คือ MSCI AC World CR USD ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 0.78%
สำหรับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 จะลงทุนในกองทุนรวมนี้จะนำเงินไปลงทุนใน “หน่วยลงทุนของกองทุนในต่างประเทศ” (เพียงกองทุนเดียว) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีตั้งแต่ร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน และกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ETF ในต่างประเทศ โดยกองทุนรวมต่างประเทศดังกล่าว มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีหุ้น ซึ่งได้แก่S&P BRIC 40 Index โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด และบ่งชี้ถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุนซึ่งดัชนีดังกล่าวประกอบด้วย หุ้นทั้งหมด 40 ตัวจาก 4 ประเทศที่น่าจับตามอง ได้แก่ ประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการลงทุน กองทุนจะพิจารณาลงทุนในกองทุนSPDR S&P BRIC 40 ETF ซึ่งจัดตั้งและบริหารจัดการโดย SSgA Funds Management, Inc. หนึ่งในบริษัทในเครือของ State Street Bank and Trust Company โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา (American Stock Exchange : AMEX) และเป็นกองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายการลงทุนสอดคล้องกับที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากกองทุนจะลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศข้างต้นแล้ว กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีสินค้าหรือตัวแปรเป็นหลักทรัพย์หรือดัชนีกลุ่มหลักทรัพย์ และ/หรืออัตราดอกเบี้ย และ/หรืออันดับความน่าเชื่อถือหรือเหตุการณ์ที่มีผลต่อการชำระหนี้ของตราสารแห่งหนี้ และ/หรือสินค้าหรือตัวแปรอื่นใดที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง(Hedging) หรือการหาดอกผลโดยวิธีการอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดหรือให้ความเห็นชอบทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนบางส่วนในประเทศไทย โดยบริษัทจัดการจะฝากเงินของกองทุนไว้ในบัญชีเงินฝากในประเทศไทย ตลอดจนลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging)