xs
xsm
sm
md
lg

นครหลวง’ เชื่อคอมมอดิตี้อนาคตสดใส ผนึก Citigroup โรดโชว์นักลงทุนสถาบัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.นครหลวงไทยมั่นใจสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มสดใส หลังจากเศรษฐกิจโลกได้พ้นจากจุดต่ำสุดของการถดถอยแล้ว ส่งผลให้ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ และเงินเฟ้อสูงขึ้น แนะนักลงทุนเข้าลงทุนในกองทุน Citi COMET Index USD Fund เหตุพบว่าอัตราผลตอบแทนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีความผันผวนต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น พร้อมจับมือ Citigroup โรดโชว์กองทุน “นครหลวงไทย Efficient Long - Short Commodity” หวังดึงลูกค้าสถาบันรายใหญ่เข้ามาลงทุน คาดว่าสามารถเปิดไอพีโอกลางเดือนมิถุนายนนี้

นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ (รอยเตอร์ และมหาวิทยาลัยมิชิแกน) ในเดือนพฤษภาคม 2552 ปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 67.9 ซึ่งถือได้ว่าเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 หรือในรอบกว่า 14 เดือน ขณะที่ดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคบริการ ในเขตยูโรโซนปรับตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 40.5 และ 44.7 ตามลำดับ

ขณะเดียวกัน ดัชนีชี้นำของภาคการผลิต PMI Manufacturing Index ทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีนเริ่มดีขึ้น รวมกับปัจจัยอื่นๆ แล้ว ทำให้บริษัทมีมุมมองจากการวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจโลกได้พ้นจากจุดต่ำสุดของการถดถอยแล้ว ดังนั้น ต่อไปกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ และตัวเลขเงินเฟ้อสูงขึ้นตาม ซึ่งหากนักลงทุนพึ่งพาแต่การฝากเงินเฉยๆ ก็จะมีผลทำให้ค่าเงินลดลงเมื่อเทียบกับระดับเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่บริษัทเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่มีกองทุนหุ้นและตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ และมีทีมบริหารการลงทุนและทีมบริหารความเสี่ยงที่มีศักยภาพและความสามารถสูง จึงเล็งเห็นโอกาสในการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนอีกประเภทซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน และ/หรือเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่พอร์ตสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น

นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า จากข้อมูลในอดีตพบว่าการลงทุนในหุ้นนั้นมีความผันผวนประมาณ 25-27% ต่อปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนของกองทุน Citi COMET Index USD Fund มีความผันผวนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยประมาณ 11% ต่อปี จึงทำให้เมื่อพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนหลังปรับด้วยค่าความเสี่ยงแล้ว การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จึงมีความน่าสนใจมากกว่า และสินค้าโภคภัณฑ์มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่อัตราผลตอบแทนจากหุ้นและตราสารหนี้ไม่สูงมากนัก

นอกจากนี้ จากการศึกษาของ Goldman Sachs ที่พบว่าแนวโน้มอัตราผลตอบแทนจากสินค้าโภคภัณฑ์จะแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังชะลอตัวอยู่ แต่เริ่มติดลบในอัตราที่ลดลง ก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นแล้ว และอัตราผลตอบแทนจากสินค้าโภคภัณฑ์จะสูงกว่า 10 เท่าของการเปลี่ยนแปลงของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดย Goldman Sachs คาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากสินค้าโภคภัณฑ์ไว้สูงถึง 3 เท่าในช่วง 5 ปี ข้างหน้า

จากเหตุผลดังกล่าว บริษัทจึงเตรียมเสนอขายกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ประเภทกองทุนรวมหน่วยลงทุน (Feeder Fund) เพื่อเพิ่มช่องทางการลงทุนให้แก่ผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนบางส่วนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยกองทุนเปิดนครหลวงไทย Efficient Long-Short Commodity (LSCom) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Citi COMET Index USD Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลัก ซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Long – Short เพื่อหากำไรจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยจากข้อมูลในอดีต ผลตอบแทนจากการลงทุนในลักษณะ Long-Short จะผันผวนต่ำกว่ากองทุนที่มีนโยบายแบบ Long Only

สำหรับกองทุนดังกล่าวไม่มีการกำหนดอายุกองทุน และจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% กองทุนจึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนต่ำ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ราคา 10 บาทต่อหน่วย และมูลค่าขั้นต่ำของการลงทุน 20,000 บาท ซื้อขายได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ตลอดทุกสัปดาห์ ดังนั้น การลงทุนในกองทุนนี้จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับผู้ต้องการกระจายการลงทุนไปยังประเภทสินทรัพย์ (asset class) อีกประเภทหนึ่ง และสามารถรับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางถึงสูง เช่น นักลงทุนประเภทสถาบัน และบุคคลธรรมดาที่มีพื้นฐานความรู้ด้านการลงทุนโดยขณะนี้กองทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะสามารถเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ได้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2552 นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น