คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย ธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้
ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคคองเกรสของอินเดียส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดีย ปรับตัวขึ้นกว่า 17% ในวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา...ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างแรงจนส่งผลให้ตลาดต้องหยุดทำการซื้อขายในช่วงหลังของวันเลยทีเดียว จากวันนั้นถึงวันนี้ก็มีบทความเกี่ยวกับอนาคตอันสดใสของประเทศอินเดีย พร้อมทั้งคำแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศอินเดียหลั่งไหลออกมาไม่หยุดหย่อน แค่รัฐบาลชุดเดิมชนะการเลือกตั้งตื่นเต้นอะไรกัน? … มันก็ไม่ “แค่” ซะทีเดียว ถ้าจะมองว่านี่เป็นครั้งแรก ในรอบ 47 ปีที่คณะรัฐบาลของอินเดียได้ทำงานจนครบวาระ 5 ปี และยังสามารถชนะการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้งภายใต้การนำของผู้นำคนเดิม ทั้งยังเป็นการชนะที่ฝ่ายรัฐบาลได้คะแนนเสียงเพิ่มจาก 178 ที่นั่งในปี 2004 เป็น 263 ที่นั่ง
สาเหตุที่ผลการเลือกตั้งส่งให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะนักลงทุนทั่วโลกต่างมองว่าการกลับมาของรัฐบาลภายใต้การนำท่านผู้นำมานโมฮัน ซิงห์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ความสามารถสูง ผู้ซึ่งเคยแสดงฝีมือกอบกู้เศรษฐกิจอินเดียที่ถดถอยให้กลับรุ่งโรจน์มาแล้วในอดีต จนได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งการปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดีย" (The Architect of India in Economic Reforms) ย่อมเป็นผลดีต่อการสานต่อนโยบายภาครัฐ เช่น การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคของประเทศผ่านการใช้จ่ายภาครัฐที่ชะงักไปในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งโครงการเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อการเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว ในขณะที่การได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในสภาย่อมจะส่งผลให้การดำเนินนโยบายต่างๆเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากเรื่องการบริหารนโยบายของอินเดียที่ดูจะมีแนวโน้มที่ดีแล้ว ในแง่ valuation เมื่อเปรียบเทียบราคาหุ้นอินเดียในวันนี้กับราคาในอดีตก็ถือยังไม่แพง โดยปัจจุบันมีการซื้อขายกันที่ P/E ประมาณ 15-16 เท่า ลดลงจากระดับประมาณ 20-35 เท่าในช่วงปี 2005-2007 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียมีการเติบโตอย่างมาก การลงทุนในหุ้นอินเดียในวันนี้จึงน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะยังมีระดับราคาที่ไม่แพง และมีอนาคตการเติบโตที่ดี
เมื่อลองเปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 2003 ระหว่างดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของโลก(1) ดัชนีหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมประเทศญี่ปุ่น(2) และดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย(3) พบว่าในระยะเวลาการลงทุนที่เท่ากัน แม้ดัชนีหุ้นอินเดียจะมีความผันผวนของราคาสูงกว่าอีกสองดัชนีข้างต้น แต่ดัชนีหุ้นอินเดียก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ถึง 283% ในขณะที่หุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมประเทศญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทน 116% และหุ้นโลกสร้างผลตอบแทนได้เพียง 24% เท่านั้น ดังนั้นหากท่านเป็นนักลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวและสามารถรับความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้นได้ หุ้นอินเดียก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีทีเดียว
สำหรับท่านผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนผ่าน กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ และ ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศจีนและอินเดียผ่านกองทุนรวม ETF Index Fund ในต่างประเทศ ซึ่งท่านสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-633-6000 กด 4 ทุกวันในเวลาทำการ
โดย ธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้
ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคคองเกรสของอินเดียส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดีย ปรับตัวขึ้นกว่า 17% ในวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา...ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างแรงจนส่งผลให้ตลาดต้องหยุดทำการซื้อขายในช่วงหลังของวันเลยทีเดียว จากวันนั้นถึงวันนี้ก็มีบทความเกี่ยวกับอนาคตอันสดใสของประเทศอินเดีย พร้อมทั้งคำแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศอินเดียหลั่งไหลออกมาไม่หยุดหย่อน แค่รัฐบาลชุดเดิมชนะการเลือกตั้งตื่นเต้นอะไรกัน? … มันก็ไม่ “แค่” ซะทีเดียว ถ้าจะมองว่านี่เป็นครั้งแรก ในรอบ 47 ปีที่คณะรัฐบาลของอินเดียได้ทำงานจนครบวาระ 5 ปี และยังสามารถชนะการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้งภายใต้การนำของผู้นำคนเดิม ทั้งยังเป็นการชนะที่ฝ่ายรัฐบาลได้คะแนนเสียงเพิ่มจาก 178 ที่นั่งในปี 2004 เป็น 263 ที่นั่ง
สาเหตุที่ผลการเลือกตั้งส่งให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะนักลงทุนทั่วโลกต่างมองว่าการกลับมาของรัฐบาลภายใต้การนำท่านผู้นำมานโมฮัน ซิงห์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ความสามารถสูง ผู้ซึ่งเคยแสดงฝีมือกอบกู้เศรษฐกิจอินเดียที่ถดถอยให้กลับรุ่งโรจน์มาแล้วในอดีต จนได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งการปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดีย" (The Architect of India in Economic Reforms) ย่อมเป็นผลดีต่อการสานต่อนโยบายภาครัฐ เช่น การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคของประเทศผ่านการใช้จ่ายภาครัฐที่ชะงักไปในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งโครงการเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อการเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว ในขณะที่การได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในสภาย่อมจะส่งผลให้การดำเนินนโยบายต่างๆเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากเรื่องการบริหารนโยบายของอินเดียที่ดูจะมีแนวโน้มที่ดีแล้ว ในแง่ valuation เมื่อเปรียบเทียบราคาหุ้นอินเดียในวันนี้กับราคาในอดีตก็ถือยังไม่แพง โดยปัจจุบันมีการซื้อขายกันที่ P/E ประมาณ 15-16 เท่า ลดลงจากระดับประมาณ 20-35 เท่าในช่วงปี 2005-2007 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียมีการเติบโตอย่างมาก การลงทุนในหุ้นอินเดียในวันนี้จึงน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะยังมีระดับราคาที่ไม่แพง และมีอนาคตการเติบโตที่ดี
เมื่อลองเปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 2003 ระหว่างดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของโลก(1) ดัชนีหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมประเทศญี่ปุ่น(2) และดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย(3) พบว่าในระยะเวลาการลงทุนที่เท่ากัน แม้ดัชนีหุ้นอินเดียจะมีความผันผวนของราคาสูงกว่าอีกสองดัชนีข้างต้น แต่ดัชนีหุ้นอินเดียก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ถึง 283% ในขณะที่หุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมประเทศญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทน 116% และหุ้นโลกสร้างผลตอบแทนได้เพียง 24% เท่านั้น ดังนั้นหากท่านเป็นนักลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวและสามารถรับความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้นได้ หุ้นอินเดียก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีทีเดียว
สำหรับท่านผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนผ่าน กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ และ ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศจีนและอินเดียผ่านกองทุนรวม ETF Index Fund ในต่างประเทศ ซึ่งท่านสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-633-6000 กด 4 ทุกวันในเวลาทำการ