xs
xsm
sm
md
lg

นครหลวงฯชี้กองเฮลธ์แคร์ยังสดใส ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ดันNAVขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.นครหลวงไทยเชื่อว่ากองทุนเฮลธ์แคร์ยังสดใส ระบุมูลค่าหน่วยลงทุนปรับขึ้นต่อเนื่อง เหตุได้อานิสงส์จากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 เผยกองทุน ลงทุนในบริษัทผลิตยาไข้หวัดนก และไข้หวัดใหญ่ และคิดเป็นสัดส่วนอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเภสัชกรรมถึง 40% ยืนยันไม่ปรับพอร์ตลงทุน เหตุกระจายเสี่ยงการลงทุนในอุตสาหกรรม และทั่วโลกเหมาะสมแล้ว

นางศันสนีย์ หุตานุวัตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเกิดการระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เอช1เอ็น1 ที่ประเทศเม็กซิโกในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) ได้ทยอยปรับเพิ่มขึ้นไปพอสมควร เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการกองทุนรวมต่างประเทศประเภท Equity Exchange Traded Fund (Equity ETF) ที่กองทุนนี้เข้าไปลงทุน ได้มีการลงทุนใน Roche Holding Ltd และ GlaxoSmithKline PLC ด้วย

ทั้งนี้ บริษัททั้ง 2 แห่ง ดังกล่าวเป็นบริษัทผลิตยาตัว Tamiflu (ไข้หวัดนก) และ Relenza (ไข้หวัดใหญ่) ซึ่งใช้ในการรักษาโรคระบาดสายพันธุ์ด้วย โดยมีสัดส่วนการถือประมาณบริษัทละ 3% แต่หากรวมสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเภสัชกรรม (Pharmaceuticals) โดยรวมจะมีประมาณ 40% ของพอร์ตลงทุน จึงได้รับผลดีจากการการเข้าไปลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Equity ETF กลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ไม่ได้ปรับขึ้นไปมาก เนื่องจากที่ผ่านมาหุ้นของทุกประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่ได้ปรับลดลง แต่หากเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นยังนับว่าค่อนข้างดีกว่า โดยเชื่อว่าราคาหุ้นของ Equity ETF กลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์จะมีแนวโน้มปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเกิดระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เอช1เอ็น1 ในวงกว้างออกไปในอนาคต และเกิดโรคใหม่ บริษัทที่มีการผลิตยา และวิจัยทางเภสัชกรรมจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว

นางศันสนีย์ กล่าวว่า หากจะว่าไปแล้วการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม (Health Care) ในประเทศไทยยังไม่มีเลย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเท่านั้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Health Care Products) ยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่มีในประเทศไทย ดังนั้น การที่มีกองทุนประเภทนี้ในประเทศไทยจึงช่วย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัทยังมีการลงทุนในกองทุนต่างประเทศเต็มสัดส่วนที่ 100% โดยไม่ได้มีการปรับลดสัดส่วนของการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ลงแต่อย่างใด เนื่องจากมองว่ากองทุนดังกล่าวมีการกระจายการลงทุนค่อนข้างดี โดยกระจายการลงทุนใน Equity ETF จำนวน 4 อุตสาหกรรม และทุกประเทศทั่วโลกอย่างเหมาะสมแล้ว

สำหรับกองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ มีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท กองทุนรวมจะนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ประเภท Exchange Traded Fund (ETF) ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนตามความเคลื่อนไหวของดัชนีอุตสาหกรรมและการบริการที่เกี่ยวกับการแพทย์ เภสัชกรรม สุขภาพ การรักษาพยาบาล และ เทคโนโลยีชีวภาพ (Health Care Industry) ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก

ขณะเดียวกัน กองทุนดังกล่าวมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานหรือกำไรสะสมในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น