บลจ.วรรณ โชว์ผลงานกองทุนรวมแอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ เหนือดัชนีตลาด รับอานิสงส์ตลาดพุ่งแรง เผยจับจังหวะขายทำกำไรไปแล้ว ทำให้สัดส่วนเงินสดค่อนข้างสูง เล็งเก็บหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นที่มีคุณค่าเข้าพอร์ต สร้างผลตอบแทนที่ดีต่อ ขณะที่กลยุทธ์กองตราสารหนี้ เน้นเพิ่มดูเรชั่นพอร์ตการลงทุนให้ยาวขึ้น พร้อมเลือกตราสารหนี้เรตติ้งดี มั่นคงและปลอดภัยสูง
นายชัยพฤกษ์ กุลกาญจนาธร ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ภายใต้การบริหารว่า การลงทุนในกองทุนรวมแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยคงเป็นพอร์ตการลงทุนเดิม ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผลการดำเนินงานของกองทุนทั้งหมดได้ปรับตัวดีขึ้นทุกกองทุน เนื่องจากกว่าตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากต้นปี โดยเฉพาะเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่ตลาดมีกาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น
ทั้งนี้ เมื่อตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีการขายหุ้นออกเพื่อทำกำไรให้กองทุนบ้าง ก่อนเตรียมลงทุนต่อ จึงทำให้พอร์ตการลงทุนมีสัดส่วนการถือครองเงินสดสูงขึ้นจากช่วงก่อนที่ไม่มีการขายหุ้นออก ดังนั้น หลังจากนี้หากตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จะไม่ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากการกองทุนมีเงินสดเพิ่มขึ้นจากการขายทำกำไร
สำหรับผลการดำเนินงานในส่วนของกองทุนรวมแอลทีเอฟ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นนั้นประกอบไปด้วย กองทุนวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟหุ้นระยะยาว กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรทหุ้นระยะยาว และกองทุนเปิดหุ้นคุณค่า เพื่อการเลี้ยงชีพ พบว่ากองทุนรวมแอลทีเอฟทั้งสองกองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 โดยย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 14.27% ขณะที่ย้อนหลัง 6 เดือน 21.52% ส่วนย้อนหลัง 1 ปี -38.82% อย่างไรก็ตาม กองทุนแอลทีเอฟทั้งสองกองทุนจะมีความแตกต่างกันตรงที่นโยบายการจ่ายปันผลของกองทุน จึงทำให้ผลการดำเนินงานมีความใกล้เคียงกันมาก
ขณะที่ กองทุนเปิดหุ้นคุณค่า เพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 โดยย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 14.27% ขณะที่ย้อนหลัง 6เดือน 23.65% ส่วนย้อนหลัง 1 ปีเท่ากับ -37.83% ขณะเดียวกันพบว่าเกณฑ์มาตรฐานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 12.34% ย้อนหลัง 6 เดือนคือ 18.04% และย้อนหลัง 1 ปี เท่ากับ -41.68% ทั้งนี้เกณฑ์มาตรฐานของกองทุนเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนของดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
"กองทุนรวมแอลทีเอฟของเรานั้น เป็นกองทุนที่มีการลงทุนในเน้นการลงทุนใน SET 50 เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีขนาดใหญ่ของตลาด แต่สำหรับกองทุนเปิด V-RMF เราจะเน้นการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่เรามองว่ามีคุณค่าเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนออกมาสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานของตลาด"นายชัยพฤกษ์ กล่าว
นางสาว พรอุมา เทวาหุดี ผู้จัดการกองทุน บลจ. กล่าวเพิ่มเติมสำหรับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ ว่า สำหรับการเลือกลงทุนในตราสารหนี้นั้น ยังคงเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่ดี มีความมั่นคงและปลอดภัยสูง โดยพอร์ตการลงทุนนั้นจะมีการปรับเพิ่มดูเรชั่นของพอร์ตการลงทุนให้ยาวขึ้นจากช่วงก่อนหน้านี้
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยหลังจากนี้นั้น จะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้ผลการดำเนินงานของกองทุนดีขึ้น โดยตราสารที่มีการเลือกลงทุนนั้นจะเน้นการลงทุนในตราสารที่มีอายุไม่ยาวมากนัก ขณะเดียวกัน การลงทุนในตราสารค่อนข้างที่จะมีความผันผวนในขณะนี้ เนื่องจากนักลงทุนไม่มีความมั่นใจในเรื่องของซัพพลายที่จะเกิดขึ้น ว่ามีมากน้อยแค่ไหนด้วย จึงทำให้ผลตอบแทนที่ได้จากตราสารหนี้ไม่ดีเหมือนช่วงก่อนหน้านี้
นายชัยพฤกษ์ กุลกาญจนาธร ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ภายใต้การบริหารว่า การลงทุนในกองทุนรวมแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยคงเป็นพอร์ตการลงทุนเดิม ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผลการดำเนินงานของกองทุนทั้งหมดได้ปรับตัวดีขึ้นทุกกองทุน เนื่องจากกว่าตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากต้นปี โดยเฉพาะเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่ตลาดมีกาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น
ทั้งนี้ เมื่อตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีการขายหุ้นออกเพื่อทำกำไรให้กองทุนบ้าง ก่อนเตรียมลงทุนต่อ จึงทำให้พอร์ตการลงทุนมีสัดส่วนการถือครองเงินสดสูงขึ้นจากช่วงก่อนที่ไม่มีการขายหุ้นออก ดังนั้น หลังจากนี้หากตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จะไม่ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากการกองทุนมีเงินสดเพิ่มขึ้นจากการขายทำกำไร
สำหรับผลการดำเนินงานในส่วนของกองทุนรวมแอลทีเอฟ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นนั้นประกอบไปด้วย กองทุนวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟหุ้นระยะยาว กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรทหุ้นระยะยาว และกองทุนเปิดหุ้นคุณค่า เพื่อการเลี้ยงชีพ พบว่ากองทุนรวมแอลทีเอฟทั้งสองกองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 โดยย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 14.27% ขณะที่ย้อนหลัง 6 เดือน 21.52% ส่วนย้อนหลัง 1 ปี -38.82% อย่างไรก็ตาม กองทุนแอลทีเอฟทั้งสองกองทุนจะมีความแตกต่างกันตรงที่นโยบายการจ่ายปันผลของกองทุน จึงทำให้ผลการดำเนินงานมีความใกล้เคียงกันมาก
ขณะที่ กองทุนเปิดหุ้นคุณค่า เพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 โดยย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 14.27% ขณะที่ย้อนหลัง 6เดือน 23.65% ส่วนย้อนหลัง 1 ปีเท่ากับ -37.83% ขณะเดียวกันพบว่าเกณฑ์มาตรฐานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 12.34% ย้อนหลัง 6 เดือนคือ 18.04% และย้อนหลัง 1 ปี เท่ากับ -41.68% ทั้งนี้เกณฑ์มาตรฐานของกองทุนเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนของดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
"กองทุนรวมแอลทีเอฟของเรานั้น เป็นกองทุนที่มีการลงทุนในเน้นการลงทุนใน SET 50 เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีขนาดใหญ่ของตลาด แต่สำหรับกองทุนเปิด V-RMF เราจะเน้นการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่เรามองว่ามีคุณค่าเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนออกมาสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานของตลาด"นายชัยพฤกษ์ กล่าว
นางสาว พรอุมา เทวาหุดี ผู้จัดการกองทุน บลจ. กล่าวเพิ่มเติมสำหรับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ ว่า สำหรับการเลือกลงทุนในตราสารหนี้นั้น ยังคงเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่ดี มีความมั่นคงและปลอดภัยสูง โดยพอร์ตการลงทุนนั้นจะมีการปรับเพิ่มดูเรชั่นของพอร์ตการลงทุนให้ยาวขึ้นจากช่วงก่อนหน้านี้
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยหลังจากนี้นั้น จะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้ผลการดำเนินงานของกองทุนดีขึ้น โดยตราสารที่มีการเลือกลงทุนนั้นจะเน้นการลงทุนในตราสารที่มีอายุไม่ยาวมากนัก ขณะเดียวกัน การลงทุนในตราสารค่อนข้างที่จะมีความผันผวนในขณะนี้ เนื่องจากนักลงทุนไม่มีความมั่นใจในเรื่องของซัพพลายที่จะเกิดขึ้น ว่ามีมากน้อยแค่ไหนด้วย จึงทำให้ผลตอบแทนที่ได้จากตราสารหนี้ไม่ดีเหมือนช่วงก่อนหน้านี้