ASTVผู้จัดการรายวัน - เปิดพอร์ต "TDEX" บลจ.วรรณ เผยจบไตรมาสแรก หน่วยลงทุนโตสวนทางเอ็นเอวี ที่ราคาตก จากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจ เผยกลยุทธ์ปรับพอร์ตการลงทุนตามสัดส่วน SET50 ล่าสุด ผลการดำเนินงานเหนือเกณฑ์ รับอานิสงส์รับเงินปันผล
นายชัยพฤกษ์ กุลกาญจนาธร ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท50อีทีเอฟ (TDEX) ที่ผ่านมาพบว่า กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี)โตขึ้นประมาณ 1.7 เท่า โดย ณ วันที่ 3 เมษายน 2552 กองทุนมีมูลค่าเอ็นเอวีอยู่ที่ 1,771,984,479.17 บาท ขณะที่จำนวนหน่วยลงทุนของกองทุนกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน หรือเพิ่มขึ้นจาก 178 ล้านหน่วย ปรับตัวไปอยู่ที่ 542 ล้านหน่วย
โดยผลการดำเนินงานของกองทุน TDEX นั้น จะเน้นให้มีความใกล้เคียงกับ ดัชนี SET50 มากที่สุด ถึงแม้ว่าเอ็นเอวีของกองทุนจะมีการเพิ่มขึ้นไม่มากนักตั้งแต่จัดตั้งกองทุน แต่จำนวนหน่วยลงทุนกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทำให้นักลงมีการเทขายหน่วยลงทุนออกมา จึงส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตามไปด้วย
"การบริหารกองทุนTDEX ของเรานั้น จะพยายามให้ผลการดำเนินงานใกล้เคียงกับดัชนีSET50 ให้มากที่สุด โดยการลงทุนของเรานั้น เราจะบริหารปรับพอร์ตการลงทุนแบบเดียวกับ SET50 คือจะมีการปรับพอร์ตและให้น้ำหนักการลงทุนที่เท่ากับตลาด แต่สำหรับผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าดัชนีนั้น เนื่องจากการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนที่กองทุนเข้าไปลงทุน"นายชัยพฤกษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น พบว่ากองทุนTDEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 20 ล้านบาทต่อวัน โดยเท่ากับช่วงไตรมาส 4 ปี 2551 ซึ่งถือว่ามีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งนี้ การที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะลงทุนในกองทุนTDEX เพื่อใช้เป็นอีกทางเลือกและกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ สำหรับมุมมองตลาดหลักทรัพย์ในขณะนี้ เริ่มปรับตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตลาดหุ้นจะเริ่มดูดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ได้มีปัจจัยลบเข้ามากระทบให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยไม่ปรับตัวตามตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก
ขณะเดียวกัน จากการปัจจัยการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุน เพราะปัญหาเหล่านี้ นักลงทุนไม่สามารถจะคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด และความรุนแรงจะมีมากแค่ไหน นักลงทุนจึงเลือกที่จะเก็บเงินสดไว้กับตัว แต่ถ้าหากประเทศไทยสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ทางการเมืองไปได้นั้น จะทำให้นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนในประเทศเริ่มที่จะกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้งหนึ่ง และอาจจะทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"การที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการกลับเข้ามาลงทุนนั้น เพราะนักลงทุนเหล่านั้นมองว่า เศรษฐกิจภายในภูมิภาคเอเชียมีความแข็งแกร่งกว่าการลงทุนในทวีปอื่นๆ โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวจึงเป็นไปได้สูง อีกทั้งการที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย แต่ทั้งนี้นักลงทุนจะต้องเฝ้าจับตาดูว่านักลงทุนเหล่านี้เข้ามาลงทุนในเพื่อทำกำไรระยะสั้นหรือระยะยาว"นายชัยพฤกษ์ กล่าว
โดยกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท50อีทีเอฟ มีผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 27 มีนาคม 2552 พบว่าผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -0.41% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.86% โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -27.98% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -29.25% มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -45.71% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -48.49% และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -0.41% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.86%
นายชัยพฤกษ์ กุลกาญจนาธร ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท50อีทีเอฟ (TDEX) ที่ผ่านมาพบว่า กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี)โตขึ้นประมาณ 1.7 เท่า โดย ณ วันที่ 3 เมษายน 2552 กองทุนมีมูลค่าเอ็นเอวีอยู่ที่ 1,771,984,479.17 บาท ขณะที่จำนวนหน่วยลงทุนของกองทุนกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน หรือเพิ่มขึ้นจาก 178 ล้านหน่วย ปรับตัวไปอยู่ที่ 542 ล้านหน่วย
โดยผลการดำเนินงานของกองทุน TDEX นั้น จะเน้นให้มีความใกล้เคียงกับ ดัชนี SET50 มากที่สุด ถึงแม้ว่าเอ็นเอวีของกองทุนจะมีการเพิ่มขึ้นไม่มากนักตั้งแต่จัดตั้งกองทุน แต่จำนวนหน่วยลงทุนกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทำให้นักลงมีการเทขายหน่วยลงทุนออกมา จึงส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตามไปด้วย
"การบริหารกองทุนTDEX ของเรานั้น จะพยายามให้ผลการดำเนินงานใกล้เคียงกับดัชนีSET50 ให้มากที่สุด โดยการลงทุนของเรานั้น เราจะบริหารปรับพอร์ตการลงทุนแบบเดียวกับ SET50 คือจะมีการปรับพอร์ตและให้น้ำหนักการลงทุนที่เท่ากับตลาด แต่สำหรับผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าดัชนีนั้น เนื่องจากการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนที่กองทุนเข้าไปลงทุน"นายชัยพฤกษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น พบว่ากองทุนTDEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 20 ล้านบาทต่อวัน โดยเท่ากับช่วงไตรมาส 4 ปี 2551 ซึ่งถือว่ามีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งนี้ การที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะลงทุนในกองทุนTDEX เพื่อใช้เป็นอีกทางเลือกและกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ สำหรับมุมมองตลาดหลักทรัพย์ในขณะนี้ เริ่มปรับตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตลาดหุ้นจะเริ่มดูดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ได้มีปัจจัยลบเข้ามากระทบให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยไม่ปรับตัวตามตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก
ขณะเดียวกัน จากการปัจจัยการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุน เพราะปัญหาเหล่านี้ นักลงทุนไม่สามารถจะคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด และความรุนแรงจะมีมากแค่ไหน นักลงทุนจึงเลือกที่จะเก็บเงินสดไว้กับตัว แต่ถ้าหากประเทศไทยสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ทางการเมืองไปได้นั้น จะทำให้นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนในประเทศเริ่มที่จะกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้งหนึ่ง และอาจจะทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"การที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการกลับเข้ามาลงทุนนั้น เพราะนักลงทุนเหล่านั้นมองว่า เศรษฐกิจภายในภูมิภาคเอเชียมีความแข็งแกร่งกว่าการลงทุนในทวีปอื่นๆ โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวจึงเป็นไปได้สูง อีกทั้งการที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย แต่ทั้งนี้นักลงทุนจะต้องเฝ้าจับตาดูว่านักลงทุนเหล่านี้เข้ามาลงทุนในเพื่อทำกำไรระยะสั้นหรือระยะยาว"นายชัยพฤกษ์ กล่าว
โดยกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท50อีทีเอฟ มีผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 27 มีนาคม 2552 พบว่าผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -0.41% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.86% โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -27.98% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -29.25% มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -45.71% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -48.49% และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -0.41% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.86%