คำถาม - ผู้ลงทุนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา มีภาระภาษีที่เกิดจากการลงทุนใน ตราสารทุน ตราสารหนี้ และ กองทุนรวม อย่างไรบ้าง
ตอบ - เจ้าหน้าที่จากสมาคบร้ษัทจัดการลงทุน ได้ตอบคำถามไว้ดังนี้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 ถึงมาตรา 64 กำหนดให้มีการเก็บภาษีภายใต้เงื่อนไขและข้อยกเว้นจากเงินได้ประเภทต่างๆ ของบุคคลธรรมดา ซึ่งมีส่วนหนึ่งครอบคลุมถึงเงินได้ประเภท เงินปันผล ดอกเบี้ยรับ ส่วนลดรับ และกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital gain) ซึ่งผู้ลงทุนควรทราบ ดังนี้
ภาษีเงินปันผลจากการลงทุนใน : ตราสารทุน ผู้ลงทุนมีสิทธิที่จะเลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปีโดยได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลก็ได้
กองทุนรวม ผู้ลงทุนมีสิทธิที่จะเลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปี โดยไม่มีสิทธิเครดิตภาษีเงินปันผลแต่อย่างใด
ภาษีดอกเบี้ยจากการลงทุนใน : ตราสารหนี้ ผู้ลงทุนถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำดอกเบี้ยรับนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
ภาษีส่วนลดรับจากการลงทุนใน : ตราสารหนี้ ผู้ลงทุนเฉพาะที่เป็นผู้ทรงคนแรก ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำส่วนลดรับนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
ภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital gain) : ตราสารทุน ได้รับยกเว้น (เฉพาะหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ตราสารหนี้ ผู้ลงทุนถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปี ยกเว้น Zero coupon bond ที่ผู้ทรงคนแรกได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% แล้ว กองทุนรวม ได้รับการยกเว้น
นอกจากนั้น ยังมีการลงทุนอีก 2 ประเภท ที่นอกจากผู้ลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีจากกำไรที่ได้รับแล้วยังได้รับสิทธิในการนำไปหักลดหย่อนภาษีประจำปีเป็นของแถมอีกด้วย นั่นก็คือ การลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund:
LTF) โดยผู้ลงทุนเพียงแค่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน ดังต่อไปนี้คือ
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF : ลงทุนต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่อง โดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า) ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปี ติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดไม่มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุนเนื่องจาก 3% ของเงินได้ เป็นศูนย์นั่นเอง) ลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้ว ต้องไม่เกิน 300,000 บาท การขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อผู้ลงทุนมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF : เมื่อผู้ลงทุนซื้อ LTF แล้ว ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน ทั้งนี้ เงินลงทุนใน LTFที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะต้องเป็นการลงทุนภายในช่วงระยะเวลาไม่เกินปี 2559 เท่านั้น ลงทุนสูงสุดได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท
หาก มีข้อสงสัยในการลงทุนสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน โทร. 02-2640900 กด 6
ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่จากสมาคมบริษัทจัดการกลงทุนอีกครั้งนะครับ สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับกองทุนรวมสามารถส่งคำถามเข้ามาได้ที่ fund@manager.co.th นะครับ
ที่มา-AIMC
ตอบ - เจ้าหน้าที่จากสมาคบร้ษัทจัดการลงทุน ได้ตอบคำถามไว้ดังนี้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 ถึงมาตรา 64 กำหนดให้มีการเก็บภาษีภายใต้เงื่อนไขและข้อยกเว้นจากเงินได้ประเภทต่างๆ ของบุคคลธรรมดา ซึ่งมีส่วนหนึ่งครอบคลุมถึงเงินได้ประเภท เงินปันผล ดอกเบี้ยรับ ส่วนลดรับ และกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital gain) ซึ่งผู้ลงทุนควรทราบ ดังนี้
ภาษีเงินปันผลจากการลงทุนใน : ตราสารทุน ผู้ลงทุนมีสิทธิที่จะเลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปีโดยได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลก็ได้
กองทุนรวม ผู้ลงทุนมีสิทธิที่จะเลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปี โดยไม่มีสิทธิเครดิตภาษีเงินปันผลแต่อย่างใด
ภาษีดอกเบี้ยจากการลงทุนใน : ตราสารหนี้ ผู้ลงทุนถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำดอกเบี้ยรับนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
ภาษีส่วนลดรับจากการลงทุนใน : ตราสารหนี้ ผู้ลงทุนเฉพาะที่เป็นผู้ทรงคนแรก ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำส่วนลดรับนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
ภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital gain) : ตราสารทุน ได้รับยกเว้น (เฉพาะหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ตราสารหนี้ ผู้ลงทุนถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปี ยกเว้น Zero coupon bond ที่ผู้ทรงคนแรกได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% แล้ว กองทุนรวม ได้รับการยกเว้น
นอกจากนั้น ยังมีการลงทุนอีก 2 ประเภท ที่นอกจากผู้ลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีจากกำไรที่ได้รับแล้วยังได้รับสิทธิในการนำไปหักลดหย่อนภาษีประจำปีเป็นของแถมอีกด้วย นั่นก็คือ การลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund:
LTF) โดยผู้ลงทุนเพียงแค่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน ดังต่อไปนี้คือ
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF : ลงทุนต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่อง โดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า) ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปี ติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดไม่มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุนเนื่องจาก 3% ของเงินได้ เป็นศูนย์นั่นเอง) ลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้ว ต้องไม่เกิน 300,000 บาท การขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อผู้ลงทุนมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF : เมื่อผู้ลงทุนซื้อ LTF แล้ว ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน ทั้งนี้ เงินลงทุนใน LTFที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะต้องเป็นการลงทุนภายในช่วงระยะเวลาไม่เกินปี 2559 เท่านั้น ลงทุนสูงสุดได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท
หาก มีข้อสงสัยในการลงทุนสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน โทร. 02-2640900 กด 6
ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่จากสมาคมบริษัทจัดการกลงทุนอีกครั้งนะครับ สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับกองทุนรวมสามารถส่งคำถามเข้ามาได้ที่ fund@manager.co.th นะครับ
ที่มา-AIMC