xs
xsm
sm
md
lg

กองอสังหาฯทยอยปันผล-แจงกำไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เทศกาลจ่ายปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ "CTARAF" ปันผลครั้งที่ 2 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.1718 บาท ขณะที่ "BKKCP" จ่ายในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.185 บาท ด้านบลจ.ไอเอ็นจี ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ของกองทุนในพอร์ต

นางสาวเอื้อพันธ์ เพ็ชราภรณ์
นางสาวเอื้อพันธ์ เพ็ชราภรณ์ ผู้บริหารฝ่ายบริการผู้ลงทุน และทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา (CTARAF) เปิดเผยว่า กองทุนจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยเป็นครั้งที่สองจากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2552 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.1718 บาทต่อหน่วย โดยบริษัทกำหนดจ่ายเงิน ปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 5 มิถุนายน 2552 ทั้งนี้ ได้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 28 พฤษภาคม 2552 นี้

สำหรับกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ลงทุนในสิทธิการเช่า 30 ปีในที่ดินและอาคารของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย กองทุนมีนโยบายจ่ายปันผลแก่ผู้ลงทุนปีละไม่เกิน 4 ครั้ง ในอัตราไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ CTARAF เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2552

นายสุริพล เข็มจินดา กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวว่า บริษัทในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก (BKKCP) จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอกให้กับผู้ถือหน่วยจากกำไรสุทธิของผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2552 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.185 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 15 มิถุนายน 2552 และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อสิทธิในการรับ เงินปันผล ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2552

สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ประเภทกองทุนปิดและไม่กำหนดอายุโครงการ มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้งในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของกองทุนฯ โดยกองทุนฯ ได้เข้าลงทุนในห้องชุดสำนักงานและห้องชุดพาณิชยกรรมในอาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ และอาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 จำนวนพื้นที่รวม 29,386.24 ตารางเมตร โดยมีบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2552 มีอัตราการเช่าพื้นที่ของกองทุนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 88.84% และ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยลงทุนเท่ากับ 12.2644 บาท
นายมาริษ ท่าราบ
ด้านนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด รายงานผลประกอบการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจำนวน 2 กองทุน ซึ่งประกอบด้วย กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ (MJLF) โดยผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552 มียอดกำไรสุทธิ 76.88 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดกำไรสุทธิ 37.81 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 103.32 โดยสาเหตุที่กองทุนมีรายได้ค่าเช่าและบริการเพิ่มขึ้นจาก 62.69 ล้านบาทในปีก่อน เป็น 77.47 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่พื้นที่บางส่วนของอาคารโครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธินที่ถูกเพลิงไหม้ในปลายปี 2550 ได้ถูกปรับปรุงพื้นที่เช่าให้เช่าได้ตามปกติ นอกจากนี้ ในระหว่างไตรมาส 1 ปี 2552 กองทุนมีการว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระให้ทำการประเมินมูลค่าเงิน ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยใช้วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) โดยมีการปรับมูลค่าของเงินลงทุนเพิ่มขึ้นและรับรู้กำไรสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนเป็นจำนวน 21.90 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF) ประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552 มียอดกำไรสุทธิ 111.96 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดกำไรสุทธิเพียง 73.53 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ52.26 โดยผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว มีสาเหตุเนื่องมาจากกองทุนมี การว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระให้ ทําการประเมินมูลค่าเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ใช้วิธีพิจารณาจากรายได้(Income Approach)โดยในระหว่างไตรมาส1 ปี 2551 มีการปรับมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 32.90 ล้านบาท แต่ทั้งนี้กองทุนได้มีการลงทุนปรับปรุงสภาพของอสังหาริมทรัพย์ให้ดีขึ้นเป็นจำนวน 74.59 ล้านบาท และรับรู้ขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นจํานวน41.69 ล้านบาท ขณะที่ระหว่างไตรมาส 1 ปี 2552 มีการปรับมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ลดลงเป็นจำนวน 6.80 ล้านบาท แต่กองทุนได้มีการลงทุนปรับปรุง สภาพของอสังหาริมทรัพย์ให้ดีขึ้นเพียง 0.90 ล้านบาท และรับรู้ขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวน 7.75 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น