บลจ.ทหารไทย มองดัชนีหุ้นไทยปีนี้ ไม่หลุด 380 จุด มั่นใจปัจจัยการเมืองไม่ใช่ปัจจัยกดดันต่อไป พร้อมแนะนักลงทุน จับจังหวะทำกำไรระยะสั้น ทยอยขายหากดัชนีเกิน 500 จุด ในทางกลับกัน หากดัชนีลดลงที่ 400 จุดให้แบ่งเงินเข้าซื้อ เตือนให้จับตาเรื่องไข้หวัดเม็กซิกันด้วย
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทหารไทย จำกัด เปิดเผยถึง ภาวะตลาดหุ้นว่า เรื่องของปัจจัยทางการเมืองนั้นไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญอีกแล้ว โดยเชื่อว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะลงไปลึกถึงระดับ 380 จุด จึงค่อนข้างยาก ซึ่งภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังมองว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ขณะเดียวกัน แนะนำว่าสำหรับคนที่กำลังลงทุนหุ้นอยู่แล้ว หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 500 จุดก็อาจจะแบ่งขายออกมาบางส่วน เมื่อดัชนีขึ้นถึง 520 จุดก็ขายมาอีกส่วน และหากเพิ่มขึ้นอีกถึง 550 จุดก็ขายมาอีกส่วนก็ได้ ในทางกลับกันเมื่อดัชนีลงมาถึงระดับ 400 จุด ก็อาจจะแบ่งเงินบางส่วนซื้อกลับเข้าไป หากลงไปอีกก็ซื้อเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความเสี่ยงในขาลงของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันน้อยมาก ดัชนีที่ระดับ 400 จุด น่าจะเป็นแนวรับที่สำคัญในกรอบล่างของดัชนีตลาดหุ้นไทย ซึ่งในช่วงที่แนวโน้มของดัชนีเป็นขาขึ้นผลตอบแทนของกองทุนทหารไทย SET50 น่าจะออกมาดี เพราะปกติมีการลงทุนในหุ้นเต็ม 100% ตลอดเวลา ต่างกับกองทุนหุ้นที่บริหารแบบ Active Management ซึ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นลงผลการดำเนินงานอาจจะดี เพราะมีการถือเงินสดไว้บางส่วน แต่เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนตํ่ากว่าตลาดได้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเอง อยากให้นักลงทุนรอในเรื่องของไข้หวัดเม็กซิกันให้ชัดเจนก่อน แม้โดยส่วนตัวจะเชื่อว่าไม่น่าจะมีความรุนแรงอะไรก็ตาม แต่หากเกิดมีความรุนแรงข้ามทวีปขึ้นมา จะเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่กดดันตลาดหุ้นไทยได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เรื่องดังกล่าวถือเป็นปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยได้ในตอนนี้ ไม่ใช่ปัจจัยการเมืองอีกแล้ว เพราะปัจจัยการเมืองได้ถูกทดสอบไปแล้วเมื่อตอนปิดสนามบินและช่วงสงกรานต์
นายไพศาลกล่าวถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดทหารไทย USD Money Market ด้วยว่า ปัจจุบันผลตอบแทนของตราสารหนี้ค่อนข้างต่ำ และน่าจะทรงตัวในระดับต่ำอย่างนี้ไปอีกสักระยะหนึ่ง โดยในส่วนของผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯเองพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นๆ มีผลตอบแทนที่ต่ำมากเพียง 0.1-0.2% และเมื่อหักค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการเข้าไปก็ติดลบแล้ว ดังนั้นในส่วนของกองทุนเปิดทหารไทย USD Money Market ที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในสหรัฐในปัจจุบัน จึงปิดไม่ให้มีการซื้อขายเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนเอง เพราะกองทุนนี้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่จะมองผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก เฉพาะผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในปัจจุบันถือว่าไม่คุ้มค่าที่จะไปลงทุน เงินลงทุนของกองทุนนี้ในปัจจุบันจึงนำกลับมาฝากในสกุลเงินต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ของไทยอยู่ และยังคงปิดไม่ให้มีการซื้อขายจนกว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
ส่วนในเรื่องของแผนที่จะนำกองทุนทหารไทยโกลด์ฟันด์ย้ายมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์แทนนิวยอร์กนั้น คงต้องชะลอออกไปก่อน เพราะปัญหาในเรื่องของสภาพคล่องของกองทุนหลักที่จดทะเบียนในตลาดสิงคโปร์ ที่มีสภาพคล่องที่ไม่มากนัก โดยมีปริมาณการซื้อขายวันละไม่กี่ร้อยล้านบาท ซึ่งปกติกองทุนเปิดทหารไทยโกลด์ฟันด์เองก็มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเป็น 100 ล้านบาท แล้วหากส่งคำสั่งซื้อขายเข้าไปในตลาดสิงคโปร์จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหน่วยลงทุนของกองทุนหลักได้เช่นกัน บริษัทจึงชะลอแผนที่จะย้ายมาที่ตลาดสิงคโปร์ออกไปก่อน เพราะที่ตลาดนิวยอร์กกองทุนหลักมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ในส่วนของตลาดสิงคโปร์คงต้องดูเรื่องสภาพคล่องอีกครั้งหนึ่ง
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทหารไทย จำกัด เปิดเผยถึง ภาวะตลาดหุ้นว่า เรื่องของปัจจัยทางการเมืองนั้นไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญอีกแล้ว โดยเชื่อว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะลงไปลึกถึงระดับ 380 จุด จึงค่อนข้างยาก ซึ่งภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังมองว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ขณะเดียวกัน แนะนำว่าสำหรับคนที่กำลังลงทุนหุ้นอยู่แล้ว หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 500 จุดก็อาจจะแบ่งขายออกมาบางส่วน เมื่อดัชนีขึ้นถึง 520 จุดก็ขายมาอีกส่วน และหากเพิ่มขึ้นอีกถึง 550 จุดก็ขายมาอีกส่วนก็ได้ ในทางกลับกันเมื่อดัชนีลงมาถึงระดับ 400 จุด ก็อาจจะแบ่งเงินบางส่วนซื้อกลับเข้าไป หากลงไปอีกก็ซื้อเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความเสี่ยงในขาลงของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันน้อยมาก ดัชนีที่ระดับ 400 จุด น่าจะเป็นแนวรับที่สำคัญในกรอบล่างของดัชนีตลาดหุ้นไทย ซึ่งในช่วงที่แนวโน้มของดัชนีเป็นขาขึ้นผลตอบแทนของกองทุนทหารไทย SET50 น่าจะออกมาดี เพราะปกติมีการลงทุนในหุ้นเต็ม 100% ตลอดเวลา ต่างกับกองทุนหุ้นที่บริหารแบบ Active Management ซึ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นลงผลการดำเนินงานอาจจะดี เพราะมีการถือเงินสดไว้บางส่วน แต่เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนตํ่ากว่าตลาดได้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเอง อยากให้นักลงทุนรอในเรื่องของไข้หวัดเม็กซิกันให้ชัดเจนก่อน แม้โดยส่วนตัวจะเชื่อว่าไม่น่าจะมีความรุนแรงอะไรก็ตาม แต่หากเกิดมีความรุนแรงข้ามทวีปขึ้นมา จะเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่กดดันตลาดหุ้นไทยได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เรื่องดังกล่าวถือเป็นปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยได้ในตอนนี้ ไม่ใช่ปัจจัยการเมืองอีกแล้ว เพราะปัจจัยการเมืองได้ถูกทดสอบไปแล้วเมื่อตอนปิดสนามบินและช่วงสงกรานต์
นายไพศาลกล่าวถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดทหารไทย USD Money Market ด้วยว่า ปัจจุบันผลตอบแทนของตราสารหนี้ค่อนข้างต่ำ และน่าจะทรงตัวในระดับต่ำอย่างนี้ไปอีกสักระยะหนึ่ง โดยในส่วนของผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯเองพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นๆ มีผลตอบแทนที่ต่ำมากเพียง 0.1-0.2% และเมื่อหักค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการเข้าไปก็ติดลบแล้ว ดังนั้นในส่วนของกองทุนเปิดทหารไทย USD Money Market ที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในสหรัฐในปัจจุบัน จึงปิดไม่ให้มีการซื้อขายเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนเอง เพราะกองทุนนี้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่จะมองผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก เฉพาะผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในปัจจุบันถือว่าไม่คุ้มค่าที่จะไปลงทุน เงินลงทุนของกองทุนนี้ในปัจจุบันจึงนำกลับมาฝากในสกุลเงินต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ของไทยอยู่ และยังคงปิดไม่ให้มีการซื้อขายจนกว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
ส่วนในเรื่องของแผนที่จะนำกองทุนทหารไทยโกลด์ฟันด์ย้ายมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์แทนนิวยอร์กนั้น คงต้องชะลอออกไปก่อน เพราะปัญหาในเรื่องของสภาพคล่องของกองทุนหลักที่จดทะเบียนในตลาดสิงคโปร์ ที่มีสภาพคล่องที่ไม่มากนัก โดยมีปริมาณการซื้อขายวันละไม่กี่ร้อยล้านบาท ซึ่งปกติกองทุนเปิดทหารไทยโกลด์ฟันด์เองก็มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเป็น 100 ล้านบาท แล้วหากส่งคำสั่งซื้อขายเข้าไปในตลาดสิงคโปร์จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหน่วยลงทุนของกองทุนหลักได้เช่นกัน บริษัทจึงชะลอแผนที่จะย้ายมาที่ตลาดสิงคโปร์ออกไปก่อน เพราะที่ตลาดนิวยอร์กกองทุนหลักมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ในส่วนของตลาดสิงคโปร์คงต้องดูเรื่องสภาพคล่องอีกครั้งหนึ่ง
