xs
xsm
sm
md
lg

"แอสเซทพลัสสมาร์ทเอควิตี้" ซื้อหุ้นถูกเข้าพอร์ตดักตลาดฟื้นอีก3ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผลพวงจากภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นส่งผลให้ การลงทุนหุ้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อันเนื่องจากจากปัจจัยทางด้านต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศพากันเทขายหุ้นกันอย่างหนัก และเป็นเช่นนี้เหมือนกันในหลายๆตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาอย่างหนักนี้ ราคาหุ้นในหลายตัวปรับลดลงมาจนอยู่ในระดับที่ตํ่า จนเหมาะที่จะลงทุนได้ในระยะยาว

คอลัมน์ MUTUAL FUND IPO ในวันนี้ ขอแนะนำ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ทเอควิตี้ ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้น และได้เปิดขายหน่วยลงทุนไปตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม จนถึง 9 เมษายน 2552 นี้ วันนี้จึงขอแนะนำกองทุนนี้ให้นักลงทุนได้พิจารณากัน...ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่น่าพิจารณาลงทุนกัน

สำหรับกองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ทเอควิตี้ เป็นกองทุนหุ้นกองล่าสุดที่ออกมาเป็นช่องทางการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในหุ้นระยะปานกลาง โดยกองทุนดังกล่าว มีระยะเวลาการลงทุนประมาณ 3 ปี และจ่ายคืนผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปแบบการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อมูลค่า NAV ของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นทุก 8%

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน จัดสรรและคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน โดยการวิเคราะห์ในเชิงลึกในลักษณะเดียวกับการลงทุนของ Private Equity เน้นปัจจัยด้านภาพรวมเศรษฐกิจและภาวะอุตสาหกรรมรวมถึงโครงสร้างและวัฏจักรของอุตสาหกรรมการวิเคราะห์งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ตลอดจนประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งประกอบไปด้วย P/E, P/B, EV/EBITDA, Dividend yield โดยกองทุนจะจ่ายคืนผลตอบแทนในรูปของการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อมูลค่า NAV ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุก 8% จากมูลค่าที่ตราไว้ หรือมูลค่า NAV ณ วันที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติล่าสุด

โดยลักษณะเด่นของกองทุนนี้ อยู่ที่...
•เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและขนาดเล็ก

•ระยะเวลาการลงทุน 3 ปี

•จ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติเมื่อ NAV เพิ่มขึ้นทุก 8% (ติดต่อกัน 5 วันทำการ) จากมูลค่าที่ตราไว้ หรือมูลค่าเงินลงทุน ณ วันรับซื้อคืนอัตโนมัติล่าสุด

•ผลตอบแทนได้รับการยกเว้นภาษี สำหรับผู้ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดา


สำหรับเหตุผลที่ควรลงทุนในกองทุน ASP-SMART...เนื่องจากปัจจุบัน ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและขนาดเล็ก ได้ปรับลดลงกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทค่อนข้างมาก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากแรงขายอย่างรุนแรงของนักลงทุนต่างชาติจากผลพวงของวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มดังกล่าวมักจะไม่มีนักวิเคราะห์ติดตามให้ข้อมูลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีสภาพคล่องน้อย จึงไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป

นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้นพบว่ามีหุ้นหลายตัวในกลุ่มดังกล่าวที่น่าลงทุน เนื่องจากระดับราคาปรับลดลงมากกว่าผลกำไรของบริษัทที่คาดว่าจะลดลง จึงคาดว่าหุ้นกลุ่มนี้จะสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งในรูปของอัตราเงินปันผล และกำไรส่วนต่างจากการลงทุน

สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนของกองทุนนี้ จะบริหารกองทุนเชิงรุก โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน และทำการจัดสรรและคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน โดยการวิเคราะห์ในเชิงลึกจากปัจจัยดังนี้

-ภาพรวมเศรษฐกิจและภาวะอุตสาหกรรมรวมถึงโครงสร้างและวัฏจักรของอุตสาหกรรม

-การวิเคราะห์งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ตลอดจนประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งประกอบไปด้วย P/E, P/B, EV/EBITDA, Dividend yield

-ใช้อนุพันธ์เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) จากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ ในภาวะที่ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงขาลง (Downside protection)

ส่วนการคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุน...จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีสินทรัพย์ที่เป็นเงินสดอยู่ในระดับสูง เป็นบริษัทที่เป็นผู้นำอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงและต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิหรือมีศักยภาพในการเติบโตสูง ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และที่สำคัญราคาอยู่ในระดับที่น่าลงทุน

...ได้ข้อมูลและนโยบายการลงทุนแล้ว ไปดูกันบ้างว่า แนวโน้มภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

บลจ.แอสเซทพลัส วิเคราะห์ว่า...จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 เนื่องจากตลาดได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาล และนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ผ่อนคลายลง ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางด้านการเงิน และฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551

และจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติชะลอตัวลง หลังจากที่มีแรงเทขายอย่างรุนแรงมา 2 ปีติดต่อกัน ทำให้ตลาดไร้แรงกดดันจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น

ที่สำคัญ ในปี 2552 จะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้นจากราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ เพราะระดับราคาหลักทรัพย์ได้ปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 6.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่า ระดับราคาของหลักทรัพย์ค่าเฉลี่ย 10 ปีถึง 30% และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนวิกฤตในเอเชียปี 2540 ถึง 60% นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Dividend yield) ที่ระดับ 6.6% ถือเป็นระดับสูงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำที่อยู่ในระดับต่ำ จนสามารถจูงใจให้นักลงทุนหันกลับมาลงทุนในตลาดหุ้น ประกอบกับ ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ค่อนข้างต่ำโดยอยู่ที่ประมาณ 1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนวิกฤตในเอเชียในปี 2540 มากกว่า 60% สุดท้าย บริษัทต่าง ๆ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉลี่ยมีหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3 เท่า

บุษเรศ หยุ่นนิยม ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด เน้นย้ำว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงระยะเวลา 3 ปี น่าจะเป็นช่วงระยะยาวเพียงพอที่การลงทุนในหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุด เนื่องจากหากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว การปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจะปรับตัวก่อนล่วงหน้าประมาณ 6-9 เดือน ดังนั้น ในช่วงปีนี้ จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าทยอยเก็บหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ๆ ซึ่งบริษัทเองใช้แนวคิดการลงทุนแบบ Private Equity ในการเลือกเก็บหุ้น เพื่อรอผลการลงทุนในระยะเวลา 3 ปีที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว โดยเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้ปรับลดลงกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทค่อนข้างมาก โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างรุนแรงในปี 2551

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มดังกล่าวมักจะไม่มีนักวิเคราะห์ติดตามให้ข้อมูลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีสภาพคล่องน้อย จึงไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป ทำให้ราคาของหลักทรัพย์กลุ่มนี้ไม่ได้สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งหากสามารถคัดเลือกหุ้นคุณภาพในกลุ่มดังกล่าวโดยใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในเชิงลึก จะเป็นช่องทางในการสร้างโอกาสผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาได้ในอัตราที่สูงเมื่อตลาดหุ้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์พบว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวหลายตัวที่น่าลงทุน เนื่องจากระดับราคาได้ลดลงมามากกว่าผลกำไรที่คาดว่าจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ จึงคาดว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งในรูปของอัตราเงินปันผล และกำไรส่วนต่างจากการลงทุน

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ทเอควิตี้ (ASP-SMART) ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บลจ.แอสเซท พลัส Call Center 02-672-1111และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ บลจ.แอสเซท พลัส
กำลังโหลดความคิดเห็น