บลจ.แอสเซท พลัส จับจังหวะส่วนต่างผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนปรับสูงขึ้น คลอดกองทุนบอนด์เอกชน เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า ชูกลยุทธ์ลงทุนยาว 2 ปี ให้ผลตอบแทน 3.1% ต่อปี เปิดขายไอพีโอถึง 7 เมษายนนี้
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซทพลัส (บลจ.) จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงใช้นโยบายการเงินในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบ ทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก และทำให้ปัจจุบันส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนปรับสูงขึ้น
ดังนั้น ในส่วนของการบริหารพอร์ตการลงทุนในกองทุนเปิดตราสารหนี้ จึงได้มีการปรับสัดส่วนการลงทุนบ้างในจังหวะที่กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Yield pick up) จากภาวะตลาดดังกล่าว เนื่องจากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ไทยส่วนใหญ่ยังมีความมั่นคงทางด้านการเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปี 2540
นายวินกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น น่าจะปรับต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 ปี 2552 และน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำต่อเนื่องตลอดช่วงครึ่งแรกของปี 2553 จากแนวโน้มเศรษฐกิจ และ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในด้านการลงทุนแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ยังไม่พ้นรอบอัตราดอกเบี้ยขาลง อาจจะทำให้มีความเสี่ยงที่อัตราผลตอบแทนจากการ reinvestment ที่ต่ำลงเมื่อตราสารครบอายุ
ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาว และรับความเสี่ยงทางด้าน Credit ได้ จะแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้เพื่อสร้างผลตอบแทน เนื่องจากบริษัทเอกชนที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งจะออกหุ้นกู้ในช่วงนี้ และให้ผลตอบแทนสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือใกล้เคียงกันค่อนข้างมาก
ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซทพลัส จำกัด กล่าวว่า เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึดได้เปิดขายกองทุนตราสารหนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนเพิ่มขึ้น โดยระหว่างวันที่ 1-7 เมษายนนี้ บริษัทจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมี่ยมตราสารหนี้ 2Y (ASP-P2Y) อายุโครงการ 2 ปี คาดการณ์ผลตอบแทน 3.1% ต่อปี
โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ที่มีอายุคงเหลือใกล้เคียงกับอายุของกองทุน เช่น ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) บมจ.ภัทรลิสซิ่ง (PL) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และบมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ทั้งนี้ กองทุนจะจ่ายคืนผลตอบแทนอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนทุกๆ 6 เดือน เพื่อสร้างกระแสเงินสดคืนให้กับลูกค้าระหว่างทาง โดยกองทุนนี้ถือว่าเป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ เกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นกู้ที่บริษัทฯ จะลงทุนนั้น จะต้องเป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีความสามารถในการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยสูง (Strong Balance Sheet) ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ไม่ต่ำกว่าระดับ A- ณ วันที่ลงทุน มีกระแสเงินสดจากการดำเนินสูง (High Cash Flow from Operation) มีความสามารถในการระดมทุนได้หลายช่องทาง (Flexibility in Financing) และมีกระบวนการทำงานที่โปร่งใส และมีบรรษัทภิบาลที่ดี (Transparency and Good Corporate Governance)
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซทพลัส (บลจ.) จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงใช้นโยบายการเงินในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบ ทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก และทำให้ปัจจุบันส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนปรับสูงขึ้น
ดังนั้น ในส่วนของการบริหารพอร์ตการลงทุนในกองทุนเปิดตราสารหนี้ จึงได้มีการปรับสัดส่วนการลงทุนบ้างในจังหวะที่กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Yield pick up) จากภาวะตลาดดังกล่าว เนื่องจากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ไทยส่วนใหญ่ยังมีความมั่นคงทางด้านการเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปี 2540
นายวินกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น น่าจะปรับต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 ปี 2552 และน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำต่อเนื่องตลอดช่วงครึ่งแรกของปี 2553 จากแนวโน้มเศรษฐกิจ และ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในด้านการลงทุนแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ยังไม่พ้นรอบอัตราดอกเบี้ยขาลง อาจจะทำให้มีความเสี่ยงที่อัตราผลตอบแทนจากการ reinvestment ที่ต่ำลงเมื่อตราสารครบอายุ
ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาว และรับความเสี่ยงทางด้าน Credit ได้ จะแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้เพื่อสร้างผลตอบแทน เนื่องจากบริษัทเอกชนที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งจะออกหุ้นกู้ในช่วงนี้ และให้ผลตอบแทนสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือใกล้เคียงกันค่อนข้างมาก
ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซทพลัส จำกัด กล่าวว่า เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึดได้เปิดขายกองทุนตราสารหนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนเพิ่มขึ้น โดยระหว่างวันที่ 1-7 เมษายนนี้ บริษัทจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมี่ยมตราสารหนี้ 2Y (ASP-P2Y) อายุโครงการ 2 ปี คาดการณ์ผลตอบแทน 3.1% ต่อปี
โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ที่มีอายุคงเหลือใกล้เคียงกับอายุของกองทุน เช่น ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) บมจ.ภัทรลิสซิ่ง (PL) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และบมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ทั้งนี้ กองทุนจะจ่ายคืนผลตอบแทนอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนทุกๆ 6 เดือน เพื่อสร้างกระแสเงินสดคืนให้กับลูกค้าระหว่างทาง โดยกองทุนนี้ถือว่าเป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ เกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นกู้ที่บริษัทฯ จะลงทุนนั้น จะต้องเป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีความสามารถในการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยสูง (Strong Balance Sheet) ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ไม่ต่ำกว่าระดับ A- ณ วันที่ลงทุน มีกระแสเงินสดจากการดำเนินสูง (High Cash Flow from Operation) มีความสามารถในการระดมทุนได้หลายช่องทาง (Flexibility in Financing) และมีกระบวนการทำงานที่โปร่งใส และมีบรรษัทภิบาลที่ดี (Transparency and Good Corporate Governance)