บลจ.ไทยพาณิชย์ กางแผนสนใจออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นลงทุนในโรงแรมระดับ 4 ดาว ซึ่งมีทั้งแบบฟรีโฮลด์และลีสโฮลด์ แต่ต้องเสนอผลตอบแทน 8% ขึ้นไป เพื่อให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้ เล็งเข็นออกมาช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เตรียมควบรวมกองทุนที่มีความซ้ำซ้อนกัน หวังกระจายสินทรัพย์ลงทุนมากขึ้น และลดต้นทุนการดำเนินงาน ปลื้มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจ่อขึ้นอันดับ 1 หลัง บมจ.ปูนซิเมนต์ไทยเตรียมให้บริษัทบริหารจัดการให้
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนายการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในแผนงานของปีนี้ บริษัทมีความสนใจออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์) เช่นกัน โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ทั้งที่เป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในกรรมสิทธิ์ (ฟรีโฮลด์) และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในสิทธิการเช่า (ลีสโฮลด์) แต่อาจจะมีการแยกกองทุนและขนาดของกองทุนออกจากกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน นอกจากนี้ ยังสนใจออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นลงทุนในศูนย์กระจายสินค้า และสำนักงานให้เช่าด้วย โดยกองทุนทั้งหมด คาดว่าจะสามารถออกได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 แต่ในขณะที่กองทุนสำนักงานให้เช่า อาจจะไม่ทันในปีนี้
ทั้งนี้ โดยปกติแล้วการออกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ จะต้องพิจารณาจากผู้บริหารสินทรัพย์ และทำเลที่ตั้งของสินทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุนเป็นสำคัญ จึงต้องหาในสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอ โดยคาดว่าจะเสนอผลตอบแทนไม่ต่ำกว่าระดับ 8% เนื่องจากระดับผลตอบแทนดังกล่าวเป็นผลตอบแทนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในตลาดโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000 – 2,000 ล้านบาท จากนั้นจึงจะปรับเพิ่มสินทรัพย์เข้าไปในภายหลัง เนื่องจากหากมีการขยายกองทุนออกไปอย่างต่อเนื่อง จะทำให้กองทุนมีอัตราการการเติบโตที่ดี
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแนวคิดที่จะนำกองทุนที่มีความซ้ำซ้อนกันมารวมเป็นกองเดียวกัน อาทิ กองทุนกลุ่มปฐม กองทุนกลุ่มมั่นคง ซึ่งมีประโยชน์ในด้านการกระจายสินทรัพย์ลงทุนได้มากขึ้น และยังสามารถลดต้นทุนในด้านการดำเนินงานด้วย แต่การที่กองทุนมีขนาดใหญ่อาจจะมีปัญหาในสินทรัพย์ลงทุนบ้างหากเป็นกองทุนหุ้น ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ (SCBSFF) ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 150,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) ที่มีขนาดกองทุนใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมกองทุนรวม ไม่มีปัญหาในเรื่องสินทรัพย์ลงทุน และยังสามารถให้ผลตอบแทนจะดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ด้วย
นางโชติกา กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มดัชนี SET50 เพื่อมารองรับการลงทุนของนักลงทุน แต่ต้องดูสถานการณ์ และจังหวะที่เหมาะสมด้วย ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (โพรวิเดนท์ ฟันด์) นั้น มูลค่าสินทรัพย์จะสามารถขยับขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมกองทุนรวมได้ในเดือนเมษายน 2552 เนื่องจากบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ตกลงว่าจ้างให้บริษัทบริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ นอกจากนี้ ยังมองว่าหากนักลงทุนสามารถนำเงินฝากที่ค้ำประกันธนาคารพาณิชย์มาลงทุนในกองทุนรวมได้ จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวม และนักลงทุนยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการลงทุนด้วย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในปัจจุบันดัชนีหุ้นค่อนข้างมีความผันผวนมาก หากนักลงทุนที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีสามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) โดยอาจจะหันมาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพได้ เนื่องจากมีความสี่ยงต่ำกว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพยังมีกองทุนบางกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ด้วย ส่วนการลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) นั้นมีความเสี่ยงมากกว่าทั้ง 2 กองทุน จึงยังไม่ควรเข้าไปลงทุนในช่วงนี้ โดยนักลงทุนควรมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการยืดระยะเวลาในการลงทุนออกไป